‘Long Live Love’ กับสิ่งที่อาจหลงลืมไป

‘ถ้าเราเกลียดคนที่รักได้ แล้วเราจะกลับไปรักคนที่เกลียดอีกครั้งได้ไหม?’ นี่คือสิ่งที่เรื่อง ‘Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์’ หนังของผู้กำกับฯ มุก-ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ ตั้งข้อสงสัย

ที่มาของคำถาม และแรงบันดาลใจที่ทำให้ทุบกระปุกมาลงทุนสร้าง มุกซึ่งเคยกำกับฯ และเขียนบทซิตคอม ‘เนื้อคู่ประตูถัดไป’, ‘เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร’, ร่วมเขียนบทหนัง ‘ปาดังเบซาร์’, กำกับการแสดงละครเวที ‘ลำซิ่งซิงเกอร์’ รวมถึงทำงานโฆษณา และเป็นหนึ่งในไดเร็กเตอร์ของ GREAT GUNS SHOT UK บอกว่า มาจากหลายส่วน ทั้งประสบการณ์ชีวิต ความรักในการเล่าเรื่องเหนือจริง รวมถึงคำสอนของพระพุทธศาสนา

ซึ่งสุดท้ายก็ประกอบร่างกลายเป็นเรื่องราวของ ‘สติ’ และ ‘เมตตา’ ที่กำลังจะแยกทาง เพื่อจบปัญหาชีวิตคู่ แต่โชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อสติประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นคนไร้ความทรงจำ จะมีก็เพียงการถ่ายรูป Now & Then ที่สามารถนำเขากลับเข้าไปในเหตุการณ์ในอดีตของรูปถ่ายใบนั้นได้

สติได้กลับไปเผชิญสิ่งที่เคยทำไว้กับเมตตา และ ‘นะโม’ ลูกสาวที่เกลียดเขาเข้าไส้ แล้วความวายป่วงก็เริ่มขึ้นเพราะทั้งเมียและลูกพร้อมจะหาจังหวะแก้แค้นเขาตลอดเวลา และขณะที่สติต้องต่อสู้กับตัวตนเดิมในอดีต ความเปลี่ยนไปของเขาในปัจจุบันก็สั่นคลอนความเกลียดชังของเมตตาและนะโม แต่สติจะกอบกู้ความรักในครอบครัวได้หรือไม่

เมตตาจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้อย่างไร เมื่อการให้อภัยเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำมันตลอดชีวิตคู่

โดยส่วนตัวของมุกในฐานะคนทำงานที่มีกำหนดจะนำ ลอง ลีฟ เลิฟว์ เข้าฉายวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา บอกว่าเธอนับถือคนที่มีความรักแบบ ‘ยั่งยืน’ ประเภทอยู่ด้วยกันมา 40-50 ปี

“เพราะมันเป็นเรื่องที่ยากมาก”

“เมื่อคุณรักใครสักคน และต้องใช้ชีวิตร่วมกัน คุณต้องสูญเสียความเป็นตัวเองไปมากมาย โดยเฉพาะผู้หญิงเอเชีย ที่มีธรรมชาติของการเสียสละอยู่สูงมากๆ เราสังเกตเห็นจากคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นแม่ น้า หรือแม้แต่เพื่อน ในขณะที่ผู้ชายเต็มไปด้วยความมั่นใจ ตัวตนที่ยิ่งแก่ยิ่งน่าดึงดูด เงยหน้ามาอีกที คุณก็จะรู้สึกอิจฉาแฟนตัวเองที่มีชีวิตที่ดีกว่า หรือรู้สึกว่าที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเรา เพราะตัวตนที่อาจเสียไประหว่างทาง แล้ววันหนึ่งคุณก็กลายเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนน่ารัก ไม่ใช่คนที่เคยถูกรักอีกต่อไป แต่เราไม่ได้อยากจะทำมันผ่านมุมมองของผู้หญิง อยากทำผ่านสถานการณ์ของผู้ชาย ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องยากมาก แต่น่าจะเกิดแรงสั่นสะเทือน และผลลัพธ์ที่ดีกว่า”

“หนังเลยเล่าถึงสถานการณ์ของสติ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ฝ่ายสามี ตัวละครที่มองตัวเองแบบเป็นบุคคลที่สามจากภาวะความจำเสื่อม ขนานไปกับการได้เห็นสภาพคนรักในปัจจุบัน ที่ยอมเสียสละให้กับคำว่าความรัก แต่เล่าด้วยอารมณ์ตลกขบขัน ประชดประชันผ่านเกร็ดชีวิต ความจริงของชีวิตคู่ผัวเมียของวัฒนธรรมไทยๆ”

ขณะเดียวกันยังตั้งใจเสนอแง่คิดต่างๆ ผ่านความหลากหลายของตัวละคร

เพราะ “เมื่อเราพูดเรื่องตัวตน คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องแฟร์ๆ และให้ความสำคัญ หนังไม่ได้พยายามตัดสินว่าตัวตนใครผิดหรือถูก แต่เราแค่ควรรู้ ว่าบางครั้งตัวตนของเราเป็นอาวุธทำร้ายคนอื่น”

เธอจึงให้ ‘นักรบ’ ตัวละครที่สุดโต่งและชัดเจนในความมีอีโก้ ยอมจำนนด้วยการบอกว่า “ความรักแม่งยาก” แทนที่จะเป็นตัวละครอื่นที่พูด รวมถึงเลือกให้ ‘ลุงพีซ’ ตัวละครที่เป็น LGBT มีความรักปกติที่สุด และให้คำปรึกษาทุกคนได้ เพราะเพศสภาพก็ไม่ใช่ตัวแปรกับความยั่งยืนของชีวิตคู่

“หรือนะโม ที่เป็นตัวแทนของเจน Z ที่พร้อมจะบวกกับพ่อตลอดเวลา ลึกๆ เราคงอยากชดเชยความผิดบาปของเจน Y อย่างเรา ที่ไม่กล้าต่อสู้สิ่งนี้ ด้วยความหวังที่เชื่อว่าอนาคตต้องดีกว่าอดีตเสมอ”

กับงานชิ้นนี้ คนทำบอกเบื้องต้นก็อยากให้ดูสนุก รู้สึกเพลิดเพลิน

แต่ “ถ้าถึงจุดหนึ่งที่มีปัญหาในชีวิตคู่ หรือแม้แต่แค่ทะลาะกับใคร ก็อยากให้ลองนึกสนุกๆ ทำแบบหนังเรื่องนี้ดู ถอดตัวตนคุณออก แล้วมองดูปัญหา ทำได้มาก ได้น้อย อย่างน้อยเราก็มีสติขึ้น จากนั้นจะเมตตาหรือไม่ ก็แล้วแต่ค่ะ”

ขณะชมพู่ อารยา ซึ่งเป็น ‘เมตตา’ เล่ายิ้มๆ ว่า หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เปลี่ยนกายภาพของเธอให้ ‘เยินมาก’ ‘พังมาก’

“แต่มันใกล้เคียงกับตัวเรามากนะ”

“หมายถึงด้วยวัย ด้วยสถานภาพหลายๆ อย่าง เลยรู้สึกว่าการที่เราจะหาบทที่รีเลตกับเรามันยากมาก แต่หนังเรื่องนี้มี ทำให้ชมรู้สึกท้าทายกับลุคที่ดูพัง เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งต้องอุทิศตัวให้กับความรัก ความเป็นแม่ ซึ่งชมอินกับบทนี้”

ระหว่างการถ่ายทำ ชมพู่บอกว่าเธอเลือกที่จะปลีกตัว แยกออกมาอยู่คนเดียว

“เพราะในบทชมเองยังไม่อยากสนิทกับซันนี่ ในเรื่องเราต้องเล่นกันหลากหลายอารมณ์มาก เพราะฉะนั้น การไม่สนิทกันจึงเป็นผลดีกับการถ่ายหนังเรื่องนี้มาก แต่ซันนี่เป็นคนน่ารัก ชอบละลายพฤติกรรมให้กับคนในกอง เป็นนักแสดงมืออาชีพมาก”

สำหรับซันนี่ “ผมอยากเล่นหนังเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่มุกโทร.มาเล่าให้ฟัง” เขาบอก

“ยิ่งพอได้อ่านบท ผมยิ่งชอบ ชอบที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่บทหนังเรื่องนี้ลงลึกไปในรายละเอียด”

เล่าด้วยว่า ในเรื่องที่เขารับบทเป็นสติในยุคปัจจุบัน กับสติที่ย้อนเวลากลับไป นั้น “ทุกครั้งที่สติย้อนไปเจอตัวเองในอดีต มันเหมือนผมได้กลับไปเรียนรู้ชีวิตพร้อมกับตัวละคร ได้ค่อยๆ กลับมาสืบหาความจริงที่หลงลืมไป ว่าเราเคยทำอะไรไว้บ้าง”

และในความเห็นของเขา “บางส่วนของหนังเรื่องนี้อาจจะทำให้เรารักกันมากขึ้น ได้เข้าใจกันและกัน”

“หนังเหมือนเป็นตัวแทนว่าโลกนี้ มันมีอะไรอีกมากมาย ขาว ดำ ถูก ผิด”

ขึ้นอยู่กับคุณจะมองในมุมไหน