วน เอ๋ย วนเวียน | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

วน เอ๋ย วนเวียน

 

การจะ Breaking the Cycle สำหรับ “การเมืองไทย”เป็นเรื่องยาก

ด้วยเราวนลูป เดิมๆมาเนิ่นนาน

ไม่ว่าจะเป็นวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหาร (ซึ่งในพ.ศ. 2567 นี้ก็ยังลือ และเรียกหา รัฐประหารกันอยู่)

และวงจรอุบาทว์ของ “นิติสงคราม” ที่นับวันสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกที

ยังดีที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง(กตต.) สวมหัวใจสิงห์ เดินหน้าการเลือกส.ว.ตามไทม์ไลน์เดิมต่อไป

ไม่เช่นนั้น คงถูกยกเป็นตัวอย่างแห่งการ”วนลูป”อีกตัวอย่างหนึ่ง

แต่กระนั้นแม้ไม่เลื่อน ก็คงต้องลุ้นเหนื่อยระทึกต่อไป

เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 4 มาตราของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. 2561อันเกี่ยวข้องกับวิธีการเลือก ส.ว.ทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัดและระดับประเทศ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ตามที่มีผู้ร้อง

กกต.ซึ่งพลาดท่า แพ้มาแล้ว ในศาลปกครอง เรื่องปมการแนะนำตัวของผู้สมัคร

หากต้องมาแพ้อีก ในศาลรัฐธรรมนูญ คงเละเป็นโจ๊ก

และจากโจ๊ก ก็มีสิทธิ “เหลวเป็นน้ำ”ต่อ ไปอีก เพราะ ปมปัญหาการเลือกส.ว.ยังมีอีกบานเบอะ

แน่นอน ภาวะดังกล่าว ผู้ที่พึงใจที่สุด ก็คือ พวกที่อยากจะ ลาก-เลื่อน-ล้ม การเลือกส.ว.นั่นเอง

ซึ่ง พวกเหล่านี้ ก็เคยเป็นแนวร่วมเดียวกันกับคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และร่างกฎหมายประกอบรรัฐธรรมนูญ ที่มาจากคณะรัฐประหาร สุมหัวกันออกแบบขบวนการเลือกส.ว.ให้พิศดารลึก

เพื่อหวังที่จะควบคุมและจำกัดวงให้บริหารจัดการได้ในกลไกของตนเอง โดยไม่สนใจว่าจะยึดโยงกับชาวบ้าน หรือไม่

โดยแรกๆ ก็เชื่อมั่นว่า สิ่งที่ออกแบบไว้อย่างเพริดแพร้วนั้นจะบรรลุผล เฉกเช่นเดียวกับ 250 ส.ว.เดิม

แต่ ด้วยการเมืองที่มีพลวัตรอยู่ตลอดเวลา

ทำให้ “เป้าหมาย”ที่ตั้งไว้ เบี่ยงเบนไป

โดยเฉพาะ เมื่อฝ่าย”ก้าวหน้า-คนรุ่นใหม่”ย้อนเกล็ดใช้กติกาที่กำหนดไว้ พยายามเบียดแทรกเข้าไปชิงพื้นที่

ขณะเดียวกัน ฝ่ายอำนาจเดิมทั้งระบอบทักษิณ ทั้งฝ่ายการเมืองบ้านใหญ่ ก็เข้ามาแบ่งอำนาจด้วย

จึงทำให้ 200 ส.ว.ใหม่ มีแนวโน้มจะมิได้อยู่ในคอนโทรล ของขั้วที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร และขั้วจารีต อย่างเบ็ดเสร็จต่อไป

อันจะส่งผลต่อเนื่องไปถึง การแต่งองค์กรอิสระ ที่ฝ่ายจารีต เคยใช้เป็นกลไกสำคัญ ทำให้เกิด ตุลาการภิวัฒน์ นิติสงคราม ฯลฯ ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ขั้วอำนาจอื่น

นอกจากนี้ จะทำให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดกว้างขึ้น

หรือแม้แต่การออกหรือแก้ กฎหมายที่อ่อนไหว ละเอียดอ่อน อย่าง กฎหมายนิรโทษกรรม หรือการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็มีโอกาสมากขึ้น

สิ่ง”เหนือ”ความคาดหมาย ที่ตั้งไว้เหล่านี้ จึงทำให้ ฝ่ายขั้วอำนาจที่สืบทอดจากรัฐประหารและขั้วจารีต มิอาจนิ่งเฉยได้

เริ่มเคลื่อนไหว ทำให้การเลือกส.ว. ที่ฝ่ายตนเอง”สร้าง”ขึ้นมาเอง กลายเป็นสิ่งสามานย์ เลวร้าย

มีการขยายผล จุดอ่อน จุดพลาด ที่กกต.กระทำขึ้น ทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ให้ใหญ่โต และมีผู้นำไปสู่การร้องเรียนต่อองค์กรอิสระต่างๆ

ทำให้ มีปัญหาอีกบานเบอะรออยู่ จนไม่รู้ว่าการเลือก 200 ส.ว.จะสำเร็จหรือไม่

ภาวะแห่งความไม่แน่นอนนี้ คงไม่ต้องบอกว่าใครได้ประโยชน์

250 ส.ว.แต่งตั้ง ซึ่งต้องทำหน้าที่ต่อไปย่อมยิ้มร่า

ไม่นำพา ว่าการเมือง จะวน เอ๋ย วนเวียน อยู่ในวงจรอุบาทว์ อย่างไร

———————