เปลี่ยนตำรวจไม่ได้ ถ้าไม่เลิกปาหี่

“สินบน” หรือ “ส่วย” ที่จะต้องจ่ายให้กับที่ดิน อำเภอ อบต. เขต เทศบาล โรงพัก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของการขอใบอนุญาต ผลิต สร้าง จำหน่าย ทำธุรกิจ ส่งออก นำเข้า หรือเพื่อผูกขาด ได้เปรียบทางการค้า รวมกันแล้วในปีหนึ่งๆ มีมูลค่าไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดิน

ถ้าปี 2567 งบประมาณแผ่นดิน 3.48 ล้านล้านบาท เงินส่วยเงินสินบนก็น่าจะไม่น้อยกว่า 1.7 ล้านล้านบาท

มูลค่ามหึมาของเศรษฐกิจนอกระบบ คือฐานรากอันมั่นคงที่สร้างให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทยเป็น “ชนชั้นสูง” ผู้อู้ฟู่หรูหรา

“น้ำมันเถื่อน” เป็นแค่ 1 ในเรื่องเถื่อนของเศรษฐกิจนอกระบบ

 

เมื่อ 19 มีนาคมที่ผ่านมา กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กองปราบปราม (บก.ป.) และกองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) ร่วมกันจับกุมเรือบรรทุก 5 ลำพร้อมน้ำมันเถื่อน 325,000 ลิตร จากนั้นนำส่งมอบให้ “สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ” โดยนำเรือทั้ง 5 ไปจอดรวมกันที่ “สะพานท่าเทียบเรือ” ตำรวจน้ำสัตหีบ พร้อมจัดตำรวจเข้าเวรยามเฝ้าดูแลรักษา “ของกลาง” ในคดี

ล่วงผ่านไป 3 เดือน ทั้งเรือบรรทุกและน้ำมันเถื่อนก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่พอตกเย็นของวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา “สารวัตร” หัวหน้าสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ “สั่ง” ให้ย้ายเรือของกลางทั้ง 5 ลำออกจาก “สะพานท่าเทียบเรือ” ของตำรวจน้ำ

ให้ไปลอยลำทอดสมออยู่ในอ่าวสัตหีบ!

อ้างเหตุว่า คลื่นลมแรง ประเดี๋ยวเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนพวกนั้นจะกระแทกสะพานท่าเทียบเรือพัง

 

เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนทอดสมออยู่ตรงนั้นได้ 3 วัน พอถึงเช้าวันที่ 12 มิถุนายน พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สารวัตรสถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) ว่ามาเห็น “เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน” หายไป 3 ลำ เมื่อไล่ถาม ได้รับคำตอบว่าไม่รู้ ไม่เห็น

1. เรือ เจ.พี. หายไปพร้อมน้ำมันเถื่อน 80,000 ลิตร กับลูกเรือ 7 คน

2. เรือ ซีฮ็อต หายไปพร้อมน้ำมันเถื่อน 150,000 ลิตร กับลูกเรือ 6 คน

3. เรือ ดาวรุ่ง หายไปพร้อมน้ำมันเถื่อน 100,000 ลิตร กับลูกเรือ 5 คน

เรือ 3 ลำที่บรรทุกน้ำมันเถื่อน พร้อมลูกเรือ 18 คน ช่างมากด้วยฤทธานุภาพ!

 

หลังจากนั้นฟังมาว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ฉุน

แล้วไง

ผบช.ก.ก็แต่งตั้งให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ที่ดูจะน่าเชื่อถือหน่อยลงไป “สืบ” และ “สอบ”

รองจรูญเกียรติท่วงท่าขึงขัง สั่งให้ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ (ผบก.รน.) ตั้งกรรมการสอบสวนด้วย

ตรงนี้ชวนให้ “สงสัย” ในระบบความคิดกับระเบียบที่คร่ำครึของราชการ

ให้ตำรวจน้ำสอบตำรวจน้ำด้วยกันเองเพื่ออะไร

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ หรือที่สื่อชอบเรียกบิ๊กเต่า อธิบายว่า

เพื่อหาข้อเท็จจริง กับเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมารับผิดชอบ

หา “ข้อเท็จจริง” อันใด?

 

นับตั้งแต่ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ มาเป็น “ผบก.รน.” ในหน่วยตำรวจน้ำถูกตั้งคำถามมีการเปลี่ยนอะไรไปบ้าง

หลายหน่วยของตำรวจมักประสบกับปัญหา คนเก่าคนใหม่ มือเก่ามือใหม่ นายเก่านายใหม่

มีใครตั้งใจจะ “ลองของ” ใครหรือไม่

การเก็บรักษา “ของกลาง” ทางคดีซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนเป็นแสนๆ ลิตรของ “ตำรวจน้ำ” ทำกันง่ายๆ หลวมๆ แบบนั้นได้หรือ

ทุกคนน่ารู้อยู่แก่ใจว่าเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 5 ลำที่จับได้เมื่อ 19 มีนาคมนั้นไม่ใช่เรือของเสี่ย ก. เสี่ย ข. โนเนม

ทั้งหมดเป็นเรือในเครือข่าย “โจ้ ปัตตานี” ผู้ทรงอิทธิพลถึงขนาดที่มีครบถ้วนตัวละครในวงการยุติธรรมที่ยอมสยบ

สมมุติว่า ในการสอบสวนของ บก.รน. ตำรวจที่เฝ้าเวรยามให้การว่า 2 ทุ่มยังเห็นบนเรือเปิดไฟสว่าง พอ 4 ทุ่ม เห็นบนเรือปิดไฟ จากนั้นก็ต่างคนต่างหลับ พอเช้าขึ้นมา สารวัตรมาถามว่า เรือหายไป ก็ตอบได้แค่ว่า ไม่รู้ ไม่เห็น เพราะราตรีกาลนั้นมืดสนิท

เช่นนี้แล้ว พล.ต.ท.จิรภพ กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ จะว่าอย่างไร

ผลการสอบสวนอาจจะได้ความแค่ “บกพร่องต่อหน้าที่”

รับประกันได้ว่า ไม่มีทุจริตภายในหน่วยตำรวจน้ำ

ที่ว่า 30 ล้านอะไรนั่นก็แค่ข่าว จะไปเอาความกับใครไม่ได้

 

บนเส้นทางค้าน้ำมันเถื่อนกว่า 30 ปี “เสี่ยโจ้” ไม่ได้พึ่งพาโชคชะตา!

โจ้หน้าหยกไต่เต้าจากมือขวาของนายตำรวจคนดังที่เคยพัวพันคดีเพชรซาอุฯ อาศัยว่าเป็นคนใจถึงพึ่งได้ กล้าทุ่มกล้าดูแลนายๆ ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ จับมือทุกสายประสานสิบทิศจึงขยับขึ้นนั่งแท่นเจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน

ถึงแม้ในวันนี้ “เสี่ยโจ้” จะกลายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับ แต่ก็ยังสามารถบริหารจัดการกับธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อนได้อย่างออกรสและมีฤทธิ์

เมื่อหลายปีก่อนเคยมีปรากฏ “โพยรายชื่อ” ที่เสี่ยโจ้จ่ายให้กับตำรวจ

บันทึกตำแหน่งชั้นยศละเอียดยิบ ยาว 4 หน้ากระดาษขนาดเอ 4 ไล่เรียงลำดับจากบนไปถึงล่าง

“ส่วยน้ำมันเถื่อน” จากเสี่ยโจ้รับกันเป็นล่ำเป็นสันประจำทุกเดือน!

หากแต่เมื่อเกิดเหตุเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำล่องหน แผนที่บางคนกำหนดเอาไว้ว่า “กรกฎาคม-ไฟเขียว” ก็มีอันต้องพับไปก่อน

คำถามที่สำคัญสำหรับ “สอบสวนกลาง” และ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ไม่รู้จริงๆ หรือว่า ระบบตำรวจฟอนเฟะขนาดไหน หลายคนเติบโตขึ้นมาได้ก็ด้วยการประจบสอพลอ ดูแลรับใช้นาย วิ่งเต้น ที่ท่วงท่าสมาร์ตแลดูขึงขังทั้งหลายนั่นเป็น “ภาพลวงตา”

ที่ว่าไม่ คือใช่

ที่ว่าขาว คือดำ ที่เห็นเป็นคนบุญคือคนบาป ที่ว่าสะอาดนั้นถ้าได้ดมกลิ่นเข้าไปแล้วลมจับ

นายตำรวจนอกราชการผู้ปรารถนาดี สดับตรับฟังสถานการณ์แล้วช่วยชี้ทางสว่างให้ว่า ถ้าจะปฏิรูปตำรวจ อย่ามุ่งแต่ปรับปรุงโครงสร้าง

“เปลี่ยนสันดาน” ผู้บังคับบัญชาตำรวจได้เมื่อใด ระบบตำรวจเปลี่ยนเมื่อนั้น!?!!!