ส่อง Plan C ขั้วขุนพล หมาก ‘ทักษิณ-อนุทิน’ กับเพาเวอร์เพลย์ กองทัพ และศึกใน ตท.24 สะเทือน กห.

แม้จะเป็นที่รู้กันว่า ผลจาก “ดีล” ตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว และการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้กลับประเทศไทย และรับหน้าที่แม่ทัพในการสู้ศึกการเมือง กับพรรคก้าวไกล และขบวนการปฏิรูปสถาบัน

แต่ดูเหมือนขั้วอนุรักษนิยม ที่มีคีย์แมน แกนนำเป็นอดีตบิ๊กทหาร หรือที่เรียกว่า ขั้วขุนพล จะไม่มั่นใจว่า นายทักษิณและพรรคเพื่อไทย จะสามารถเอาชนะพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ แบบขาดลอย

แม้จะมั่นใจแค่ว่า พรรคเพื่อไทยจะจับขั้วกับพรรคสายอนุรักษนิยมสามารถตั้งรัฐบาลผสม สกัดพรรคก้าวไกลไม่ให้เป็นรัฐบาลได้ก็ตาม

แต่ในอนาคต ไม่มีหลักประกันใดที่นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะชนะไปได้ตลอด เพราะคะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นทุกวัน

ขุนพลสายอนุรักษนิยม จึงต้องมีแผนสำรองในการสู้ศึกการเมือง

 

ส่งผลให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และพรรคภูมิใจไทยถูกจับตามองอีกครั้ง

หลังจากที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าฯ ฝ่ายหน้า และเหรียญรัตนาภรณ์ ร.10 ชั้นที่ 3

โดยเป็นนักการเมืองคนเดียวและรัฐมนตรีคนเดียวในรัฐบาลนี้ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พรรคภูมิใจไทยถูกจับตามองว่า จะรอดพ้นจากการถูกยุบพรรค กรณีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตเลขาธิการพรรค หรือไม่

และรวมถึงจะถูกพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ เขี่ยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ หลังมีปัญหาเรื่องจุดยืนกัญชา ที่พรรคเพื่อไทยจะนำกลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดอีกครั้ง

แต่เวลานี้ สถานการณ์ทำให้นายอนุทินต้องอดทนและจับมือกับนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้แน่น ในการสู้ศึกกับพรรคก้าวไกล และประกาศที่จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ตราบใดที่ยังคงมีจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสถาบันและการแก้ไขมาตรา 112

และอาจเป็นการสื่อสัญญาณว่า พรรคภูมิใจไทยก็จะจับคู่กับพรรคเพื่อไทยช่วยกันสู้ศึกเคียงข้างกันไปเช่นนี้ หลังจากที่เคยเป็นพรรคสารตั้งต้นในการจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

เพราะเป็นที่รู้กันดีเรื่องจุดยืนของนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคสีน้ำเงิน และแสดงออกถึงความจงรักภักดีมาตลอด นอกเหนือจากคอนเน็กชั่นที่นายอนุทินมีมายาวนานหลายสิบปี

นอกจากนั้น นายอนุทินยังมีเพื่อนฝูงพี่น้องในหลายวงการ โดยเฉพาะในกองทัพที่รู้จักทหารตั้งแต่รุ่นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้นำกองทัพ อดีตทหาร จนถึงผู้บังคับหน่วย ไปจนถึงนายทหารรุ่นใหม่ รุ่นดาวรุ่งในกองทัพ เพราะรู้จักคบหาและเติบโตด้วยกันมา

นายอนุทินเองเคยคิดที่อยากจะเป็นทหาร แต่เพราะต้องสานต่อธุรกิจของบิดา จึงเลือกที่จะทำธุรกิจ แต่ก็มีเพื่อนฝูงในแวดวงทหารตำรวจมากมาย คบหากันมายาวนาน

นอกเหนือจากเพื่อนร่วมรุ่นวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) 61 ที่มีทั้ง บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. บิ๊กเกรียง พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่มาเป็นประธานที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และมีรองวิน พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ทร. ที่เรียนมัธยมด้วยกันมาอีกด้วย และบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม และ บิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.

และจะเห็นภาพของนายอนุทินลงพื้นที่โดยมีฝ่ายทหารมาช่วยดูแลประสานงาน ทั้งเหล่าทัพและกองบัญชาการกองทัพไทยที่ได้ประสานเจรจากับ ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในการทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพไทยกับมหาดไทย ในการช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

ขณะที่นายอนุทินก็พยายามปรับกลยุทธ์ของพรรคภูมิใจไทยให้เป็นพรรคที่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมอุดมการณ์มากขึ้น จะเห็นได้จากการปรับโครงสร้างพรรคที่ให้ นายไชยชนก ชิดชอบ มาเป็นเลขาธิการพรรค และให้คนรุ่นใหม่เข้ามาดูแลพรรค คงเหลือนายอนุทินที่ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่

ระยะนี้ จึงทำให้นายอนุทินกลับมาถูกจับตามองในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับนายเศรษฐา หรือไม่ว่าเกิดอะไรในอนาคต นายอนุทินก็อาจเป็นทางเลือกสายกลาง

ขณะที่สถานการณ์ทางการเมือง กองทัพยิ่งถูกจับตามองท่ามกลางเสียงเรียกร้องของบางกลุ่ม เรียกหากลุ่มอำนาจเก่า เรียกร้องให้ทหารเอารถถังออกมาไล่ระบอบทักษิณ

แต่ในเมื่อ “ดีล” ยังคงอยู่ คีย์แมนในดีลก็ยังมีบทบาท อำนาจหน้าที่ จึงทำให้นายทักษิณยังเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ทำมิชชั่นสำคัญนี้ต่อไป

ผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดนี้ จึงยังคงนิ่ง และนัดแนะที่จะวางตัวให้นิ่ง ไม่แสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากการสื่อสารผ่านสื่ออย่างไม่เป็นทางการ ยืนยันว่าจะไม่มีการรัฐประหาร และไม่มีสัญญาณใด

โอกาสในการรัฐประหารไม่ใช่แค่เป็นศูนย์ แต่ถึงขั้นติดลบ เช่นที่บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ.นานถึง 3 ปี

แม้ว่ากำลังหลักในการรัฐประหารในอดีตที่ผ่านมาจะต้องเป็น ผบ.ทบ.ก็ตาม แต่เป็นที่รู้กันว่าในยุคนี้การรัฐประหารไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งท่าทีของ พล.อ.เจริญชัยในเวลานี้ก็นับถอยหลัง เตรียมเกษียณราชการหรือก่อนเกษียณในฐานะนายทหารคอแดง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) ติด “อาร์มดำ” อาจจะไม่ได้เกษียณเหมือนบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็ตาม

อีกทั้ง ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ส่วนใหญ่เป็นเตรียมทหารรุ่น 24 ทั้งบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ

ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของ ตท.รุ่น 24 ดูปึ้ก เหนียวแน่น โดยเฉพาะในการแต่งตั้งโยกย้ายกลางปีเมื่อเมษายนที่ผ่านมา ที่ พล.อ.สนิธชนก และ พล.อ.ทรงวิทย์ สามารถผลักดันให้เพื่อนร่วมรุ่นกว่า 30 คนได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก่อนเกษียณราชการเป็นครั้งประวัติการณ์

และส่งผลให้ ตท.24 แนบแน่นกันมากขึ้น โดยมี พล.อ.สนิธชนก เป็นกำลังหลักในฐานะที่เป็นปลัดกลาโหม ข้าราชการประจำเบอร์ 1 ของกระทรวงกลาโหม ที่เจรจากับนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมได้ในขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ก็สายตรงนายเศรษฐา ทวีสิน

จนถูกมองว่าพลังของเตรียมการรุ่น 24 ที่มีผู้บัญชาการเหล่าทัพถึง 3 คนจะส่งผลให้การแต่งตั้งโยกย้ายที่กำลังจะขึ้นในการตั้ง ผบ.ทบ และ ผบ.ทร.คนใหม่จะเป็นแคนดิเดตที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 24 ทั้งบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่กระแส ตท.24 กำลังมาแรงที่จะขึ้น ผบ.ทบ.คนใหม่ ชิงกับบิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสนาธิการทหารบก แคนดิเดตรุ่นน้อง ตท.26 ที่เป็นคอแดงเหมือนกัน หลังจากมีกระแสข่าวว่าสัญญาณเปลี่ยน

อีกทั้งยังมีบิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ตท.24 อีกคนที่เติบโตจากทหารรักษาพระองค์ ก็ไม่อาจมองข้ามได้

ขณะที่มีบิ๊กน้อย พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสนาธิการทหารเรือ เป็นแคนดิเดต ผบ.ทร.คนใหม่ของเตรียมทหาร 24 ที่ต้องชิงกับบิ๊กโอ๋ พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วย ผบ.ทร. รุ่นพี่ ตท.23 และรองวิน พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ทร. รุ่นน้อง ตท.25 ที่อาวุโสสูงสุด แต่ทว่า เกษียณ 2568 พร้อมกันหมด

แต่กระนั้นก็ตาม ในเตรียมทหาร 24 เองก็มีความขัดแย้งแปลกแยกของแกนนำรุ่นบางส่วน ที่ทำให้พลังของรุ่นแผ่วลงไปบ้าง โดยเฉพาะแกนนำในสายกระทรวงกลาโหม ที่มีข่าวเรื่องการร้องเรียน ฟ้องร้ององค์กรต่างๆ และอาจจะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายในโผทหารในอีกไม่กี่เดือน

นอกเหนือจากปัญหาภายในรุ่นแล้วก็ต้องมีการต่อสู้กันในระหว่างรุ่น ซึ่งเป็นธรรมชาติของกองทัพมาหลายยุค ด้วยผลพวงของเพาเวอร์เพลย์ เกมแห่งอำนาจ การแข่งขันของ ตท.24 ตท.26 และ ตท.28 ส่งผลให้มีการปล่อยกระแสข่าวลือ ว่ามีปฏิบัติการเลื่อยขาเก้าอี้กัน

หลังเอกสารกองทัพภาคที่ 1 เรื่องการหักค่าไวไฟของพลทหาร หลุดออกสื่อ หลังจากที่เพิ่งเกิดเรื่องหักค่าดูดส้วมในกองทัพภาคที่ 2 จนผู้บังคับกองพัน ถูกย้ายด่วน และเพิ่งมีการเด้งนอกฤดู ผบ.มทบ.อีสาน ที่เป็น ตท.28 ไปก่อนหน้านี้

จนมีการเชื่อมโยงว่า เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ หรือไม่

อาจสะเทือนแม่ทัพรุ่ง พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ในฐานะแม่ทัพภาคที่ 1 แต่ทว่า ก็ไม่ใช่แคนดิเดต ผบ.ทบ. เพราะก็ต้องขยับขึ้นห้าเสือกองทัพบก ตามไลน์อยู่แล้ว แต่ทว่า เป็นเพื่อน ตท.26 เพื่อนสนิทของ พล.อ.พนา ที่กำลังชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.อยู่

ส่วนตัวเต็งแม่ทัพภาคที่ 1 คือบิ๊กใหญ่ พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพน้อยที่ 1 ก็เป็นเตรียมทหารรุ่น 27 ไม่ใช่เตรียมทหารรุ่น 26

ดังนั้น กระแสข่าวที่จับคู่ว่าเป็นเตรียมทหาร 26 กับ ตท.28 นั้นจึงอาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง

เพราะหากมองไปที่กองทัพภาคที่ 1 แคนดิเดต ตท.28 หากจะชิงแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ต้องชิงกับ พล.ท.อมฤต ตท.27 มีทั้งรองไก่ พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 1 รองกอล์ฟ พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่อาจจะต้องเป็นแม่ทัพน้อย ก่อนที่จะต่อคิวเป็นแม่ทัพใหญ่ในโยกย้ายปลายปีหน้า แต่ความพยายามขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 เลย ก็ยังมี แม้น้อย หลังถูกมองว่าพลังของ ตท.28 แผ่วลง หลัง พล.อ.ณรงค์พันธ์ พ้นจากเก้าอี้ ผบ.ทบ.ไป

แต่กระแสข่าวที่เกิดขึ้นก็เป็นการเติมเชื้อไฟให้กับศึกระหว่างรุ่นเตรียมทหาร 26 และ 28 ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม

พล.ท.อมฤต บุญสุยา

พล.ท.อมฤต ถือเป็นแคนดิเดตที่มาแรงด้วย เพราะเป็นสายทหารเสือราชินี น้องรักของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรี ที่กำลังเป็นที่จับตามองและมีกระแสคิดถึงลุงตู่ เกิดขึ้นมาตลอด อีกทั้งได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ฝ่ายหน้า และเหรียญรัตนาภรณ์ชั้น 3

แต่ไม่ได้หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ออกมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามที่มีกระแสเรียกร้องจากกองเชียร์ ที่ไม่เอาระบอบทักษิณ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์มีหน้าที่สำคัญในฐานะองคมนตรีในเวลานี้ รวมถึงในอนาคตอันใกล้ในฐานะขุนพล ที่จะต้องดูแลปกป้องสถาบัน ในอีกบทบาทหน้าที่หนึ่ง

ขณะที่ในฝ่ายการเมืองและกองทัพ ที่ “ดีล” กันไว้ ก็ต้องจับมือกันต่อไป

พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ