ผ่าคดีดัง-เรือน้ำมันเถื่อน หายจากสัตหีบโผล่สงขลา ของกลาง 3 แสนลิตรเกลี้ยง โยงแชตหลุด ‘เสี่ยโจ้-ผกก.’

เรือตร.ประกบเข้าฝั่ง

คดีเรือของกลางในคดีน้ำมันเถื่อนหายไปจากท่าเรือของตำรวจน้ำสัตหีบ

เป็นประเด็นใหญ่ให้สังคมจับจ้อง

ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่ต่างกับการถูกขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนตบหน้าอย่างแรง

ตร.เต้นเรือน้ำมันเถื่อนหาย

เรื่องราวเริ่มขึ้นในค่ำวันที่ 11 มิถุนายน บริเวณเทียบท่าเรือตำรวจน้ำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อเรือประมงดัดแปลงของกลางในคดีค้าน้ำมันเถื่อนจำนวน 3 ลำ แล่นออกจากท่าจอดเรือหายไปในความมืดพร้อมด้วยน้ำมันเถื่อนของกลางกว่า 3 แสนลิตร กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ตัวก็ล่วงเลยเข้าไปช่วงสายของวันใหม่

พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สารวัตรสถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ (สว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน.) สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี รีบทำหนังสือรายงานด่วนถึง บก.รน.ระบุว่า เรือของกลาง 3 ลำ ประกอบด้วย 1.เรือเจ.พี. พร้อมของกลางน้ำมันเถื่อนประมาณ 80,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ 7 คน เรือซีฮอต พร้อมน้ำมันเถื่อนประมาณ 150,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ 6 คน และเรือดาวรุ่ง พร้อมน้ำมันเถื่อนประมาณ 100,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ 5 คน หายไปจากจุดทิ้งสมอ

เนื่องจากตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน มีพายุเข้าในพื้นที่ อ.สัตหีบ มีกระแสลมแรง สะพานตำรวจน้ำไม่สามารถรองรับน้ำหนักเรือของกลางที่จอดอยู่หัวสะพานได้ จึงให้เรือของกลางออกลอยลำทิ้งสมอในระยะปลอดภัย ห่างจากสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำประมาณ 100 เมตร โดยตำรวจที่เข้าเวรเห็นว่าเปิดไฟอยู่ถึงช่วง 4 ทุ่ม วันที่ 11 มิถุนายนจึงดับไฟ กระทั่งเช้าถึงพบว่าเรือทั้ง 3 ลำหายไป ตำรวจน้ำสัตหีบนำเรือตรวจการณ์ 815 และเรือตรวจการณ์ 632 ออกค้นหาแต่ไม่พบ โดยเชื่อว่าน่าจะพยายามหนีเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา

ทั้งนี้ เรือที่ถูกจับทุกลำจะถูกยึด GPS เหลือเพียงเข็มทิศเท่านั้น ส่วนเรื่องการเดินเรือ แม้จะถูกยึด GPS แต่หากไต๋มีประสบการณ์ก็สามารถเดินเรือได้ ขอเพียงมีแค่เข็มทิศและประสบการณ์ สำหรับเรือของกลางที่จอดทอดสมอ 2 ลำนั้นไม่มีน้ำมัน แต่ทุกลำต้องมีการเดินเครื่องยนต์ เพื่อถ่ายน้ำออกจากใต้ท้องเรือ

ส่วนเรือที่ถูกจับทั้ง 5 ลำ 3 ลำที่หายไปนั้น เป็นเจ้าของเดียวกันทั้งหมด มีรายงานว่าเป็นเครือข่ายของ “โจ้ น้ำมันเถื่อน” หรือ “โจ้ ปัตตานี” หนึ่งในพ่อค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ ที่เคยมีคดีเป็นที่โด่งดังเมื่อปี 2564 ในคดีฟอกเงินค้าน้ำมันเถื่อน ถูกตำรวจจับได้แต่หลบหนีออกนอกประเทศไปได้

ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ถึงกับยัวะรีบสั่งให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน

พร้อมให้กองบังคับการตำรวจน้ำตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องด้วยว่าเป็นความบกพร่องในหน้าที่หรือจงใจทุจริตต่อหน้าที่ ก่อนจะมีคำสั่งเด้ง 4 ตำรวจน้ำให้มาประจำการอยู่ที่ ศปก.บช.ก.

ประกอบด้วย พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.5 บก.รน., พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน., ส.ต.อ.ธรรมรัตน์ เล็กมนตรา ผบ.หมู่ ส.รน.3 กก.5 บก.รน. และ ส.ต.ท.อภิชาติ จันทร์หนู ผบ.หมู่ ส.รน.3 กก.5 บก.รน.

ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกค้นหาทั้งทางเรือและทางอากาศ รวมทั้งสั่งการให้ตามลูกเรือที่ยังเหลืออยู่และอยู่ระหว่างประกันตัวมาสอบสวน

ขณะเดียวกันสั่งการให้ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. ตั้งกรรมการสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด โดยก่อนวันที่เรือจะออกและหายไป มีพยานระบุว่าพบลูกเรือทั้ง 3 ลำออกไปซื้อเสบียง เพื่อกักตุนกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ตำรวจปฏิบัติการค้นหาอย่างไม่ลดละทั้งทางน้ำและทางอากาศ รวมทั้งประสานกองทัพเรือ ประสานทางการกัมพูชาช่วยตรวจสอบ

กระทั่งวันที่ 17 มิถุนายน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. บินด่วนไปที่ จ.สงขลา หลังรับรายงานว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเรือน้ำมันของกลางทั้ง 3 ลำได้ในอ่าวไทยรอยต่อน่านน้ำมาเลเซีย ห่างจากฝั่งประมาณ 90 ไมล์ทะเล

พร้อมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจน้ำ รวมถึงตำรวจภูธรสงขลา เพื่อเตรียมความพร้อมในการตรวจสอบรายละเอียดหลังนำเรือเข้าเทียบท่า

เจอเรือแต่น้ำมัน 3 แสนลิตรเกลี้ยง

ภาพเรือขณะจอดที่ท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบ

ขณะที่ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์เผยไทม์ไลน์เหตุการณ์ครั้งนี้นับตั้งแต่เรือถูกจับมา และยึดเป็นของกลาง กระทั่งหายไปและมีการตรวจพบว่าเริ่มจากเมื่อวันที่ 17 มีนาคม มีการจับเรือน้ำมันเถื่อนไว้ที่สัตหีบ ก่อนที่ต่อมาวันที่ 19 มีนาคม ตำรวจ บก.ปอศ.จะทำหนังสือประสานขอให้ตำรวจน้ำดูแลของกลางต่อ

กระทั่งวันที่ 11 มิถุนายน มีกลุ่มคนร้ายฉวยโอกาสเอาเรือของกลางไป โดยล่องไปถึงพื้นที่ประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ก่อนจะเอาไปหลบซ่อน มีการเปลี่ยนสีเรือ รูปพรรณสัณฐานเรือ ทาสีเก๋งเรือ พื้นเรือ เรือกำไรเงิน จากแดง เป็นสีเขียว และพยายามจะดัดแปลงทุกลำ แต่ด้วยความที่ต้องรีบหนีเจ้าหน้าที่ จึงทำเสร็จไปเพียงลำเดียว เชื่อว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการเอาเรือกลับไปใช้ใหม่ และเอาน้ำมันของกลางไปขายที่กัมพูชา ที่แน่ชัดคือ ปริมาณน้ำมันขณะนี้เหลือไม่เท่ากับตอนยึดมา

พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์กล่าวต่อว่า กระทั่งวันที่ 13 มิถุนายน ตำรวจน้ำได้ประสานเพื่อนบ้านทุกประเทศ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ตรวจดูเรือต้องสงสัย เชื่อว่ากลุ่มผู้ต้องหารู้ว่าตำรวจเริ่มตรวจหา เลยรีบเอาเรือออกจากฝั่ง โดยผู้ต้องหาส่วนหนึ่งลงเรือหนีพร้อมกันไม่ทัน เข้าพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ มาเลเซีย เพราะผู้ต้องหาชำนาญเส้นทางนี้ ทำให้ตีกรอบการตรวจค้นได้แคบ ประกอบกับชุดทหารเรือช่วยค้นหาโดยใช้ดาวเทียมและสื่อสารขอความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายประมง คอยช่วยแจ้งเบาะแส

กระทั่ง 16 มิถุนายน ช่วง 06.00 น. ได้รับแจ้งจากภาคีเครือข่าย พบเรือรูปพรรณตรงกัน ห่างจากพื้นที่ทะเลสงขลา 90 ไมล์ จึงใช้ตำรวจน้ำ 3 ลำไปพิสูจน์ กระทั่ง 15.00 น. ชัดเจนว่าใช่เรือของกลาง 3 ลำ และชื่อ-นามสกุลผู้ต้องหาตรงกัน มีลูกเรือ 8 คน ประกอบด้วย เรือกำไรเงิน 3 คน เรือเจพี 4 คน และเรือดาวรุ่ง 1 คน ที่เป็นคนดูแลเรือดังกล่าวเนื่องจากขณะนั้นเรือเสียทำให้ไปไหนต่อไม่ได้

ส่วนเป้าประสงค์ของกลุ่มผู้ต้องหา ตำรวจเชื่อว่าหวังทั้งเรื่องน้ำมันของกลางและเรือ เนื่องจากน้ำมันมีมูลค่า 3-4 ล้านบาท ส่วนเรือมีมูลค่ามากถึง 20 ล้าน จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ต้องหาพยายามดัดแปลงเรือของกลางจากเดิม เพื่อนำมาใช้ใหม่

ส่วนประเด็นที่เรือของกลางพบอยู่ในพื้นที่ของปัตตานี เนื่องจากจุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ลักลอบขายน้ำมันเถื่อน ผู้ต้องหาจึงนำเรือออกจากพื้นที่สัตหีบ และมุ่งหน้ามายังบริเวณดังกล่าว

ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับคนชื่อ จ. ซึ่งปรากฏเป็นข่าวหรือไม่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.

ด้าน พ.ต.อ.วิวัฒน์ ชูชัยเจริญ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผกก.2 บก.ปอศ.) ที่รับผิดชอบเรื่องคดีกล่าวว่า เรือของกลาง 5 ลำที่ถูกจับครั้งแรก มีผู้ต้องหาทั้งหมด 28 คน จากการสืบสวนพบว่ามีนายทุนสองกลุ่มที่เชื่อมโยงกัน ส่วนจะเป็น นาย จ. กับอีก 1 ผู้ร่วมขบวนการหรือไม่รายละเอียดยังต้องรอการสืบสวน ตอนนี้ยังไม่ขอเปิดเผย

หลังตรวจสอบภายในเรือตำรวจพบน้ำมันเถื่อนของกลางจำนวนกว่า 3.3 แสนลิตรหายไปเกือบทั้งหมด

ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ซึ่งเป็นคนไทยทั้งหมดถูกนำตัวส่งฝากขังไว้ที่ สภ.เมืองสงขลา พร้อมสอบประวัติและอัตลักษณ์บุคคล

ก่อนเตรียมตัวนำไปสอบสวนเพิ่มเติมที่กองบังคับการปราบปราม กรุงเทพฯ

น้ำมันเถื่อน3.3แสนลิตรหายเกลี้ยง

พล.ต.ต.จรูญเกียรติเผยว่า ปริมาณน้ำมันมีเหลือไม่มากอยู่ในปริมาณที่จะใช้เดินเรือได้เท่านั้น หลังจากนี้จะมีการวัดปริมาณให้แน่ชัดว่าแต่ละลำเหลือปริมาณเท่าไหร่

สำหรับเรือของกลาง 3 ลำนี้ มีมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันหากนำไปขายในท้องทะเลอยู่ที่ลิตรละประมาณ 10-15 บาท รวมมูลค่าทั้งหมดประมาณ 4-5 ล้านบาท แต่เรือต้องถูกยึดสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ประกอบการมากกว่า เรื่องน้ำมันที่หายต้องดำเนินคดี ข้อหาลักทรัพย์ของกลางในเวลากลางคืน ขณะเดียวกันผู้ต้องหาที่หนีหายไปอีก 7 ราย ต้องติดตามจับกุมต่อไป

พล.ต.ต.จรูญเกียรติเผยอีกว่า จากการสอบสวนพบตัวละครใหม่ชื่อนายเล็ก เป็นผู้จัดการส่วนตัวของ “เสี่ยโจ้” เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา นายเล็กพยายามเข้าหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือแต่ถูกปฏิเสธไป จากการตรวจสอบเชื่อว่านายเล็กมีความเชื่อมโยงกับเหตุเรือหายครั้งนี้ และยังเป็นเจ้าของเงินที่ใช้มาประกันตัวลูกเรือทั้ง 28 คนด้วย รวมทั้งน่าจะรับคำสั่งมาจาก “เสี่ยโจ้” อีกด้วย

ส่วนการสอบปากคำลูกเรือทั้ง 8 คนเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะไต้ก๋งเรือที่เหมือนกับเป็นแสงสว่างเปิดทางให้ก่เจ้าหน้าที่ จนสามารถรู้เบื้องหลังว่าคดีที่มาอย่างไร ทำให้รูปคดีมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนกรณีภาพหลุดแชตไลน์ “เสี่ยโจ้” กับผู้กำกับคนหนึ่งเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นของจริงและเตรียมเรียกสอบแล้ว

“ยืนยันว่าถึงน้ำมันเถื่อนจะอยู่ไม่ครบแต่หมายจับครบแน่นอน บอกเลยว่าจะทำแบบตรงไปตรงมา เราคือคู่ขัดแย้งของเสี่ยโจ้อยู่แล้ว เรารบกันมานาน ไม่ต้องกังวลเรื่องซูเอี๋ยกัน รับประกันว่าไม่มี การลักเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ถือเป็นการตบหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างแรง ดังนั้น จึงต้องดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ร่วมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว

ตำรวจเสียหน้าครั้งนี้แค่ติดตามของกลางกลับมาได้คงไม่พอ ถือโอกาสกวาดบ้านตัวเอง พร้อมกับลุยล้างบางให้ถึงตัวการใหญ่ที่บงการอยู่นอกประเทศ นำตัวมาลงโทษเสียทีเดียว จึงจะกู้คืนศักดิ์ศรีกลับมาได้

น้ำมันเถื่อน3.3แสนลิตรหายเกลี้ยง