สุรชาติ บำรุงสุข | “เกมส์บันไดงู” หลัง 2475!

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เดินทางมาถึงวาระครบรอบ 92 ปีอย่างเงียบๆ … แน่นอนว่า ในวาระครบรอบ 92 ปีเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ทางการเมือง อันจะถูกนำไปผูกโยงกับการเปลี่ยนแปลงในวันดังกล่าว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นปีที่มีการเลือกตั้งวุฒิสภา แต่ก็ดูจะเป็นปัญหา มากกว่าความน่าตื่นเต้นทางการเมือง

ดังนั้น จึงดูเหมือนว่า จะเป็น 92 ปีที่เงียบๆ แต่เหตุการณ์การเมืองรอบๆ ตัวดูจะไม่เงียบเท่าใดนัก โดยเฉพาะเรายังอยู่กับภาวะของ “การเมืองแห่งความไม่แน่นอน” ไม่ต่างกับในช่วงต้นของยุคหลัง 2475

อีกส่วนที่ดูจะไม่เงียบก็คงหนีไม่พ้นจากเสียงเล่าลือในเรื่องของ “รัฐประหาร” จนบางครั้งทำให้คนที่สนใจการเมืองไทยมักมีคำถามอยู่เสมอว่า “92 ปีแล้ว … ข่าวลือเรื่องรัฐประหารยังไม่จบอีกหรือ?” หรือว่า สังคมไทยจะต้องตกอยู่ใน “วังวนรัฐประหาร” แบบไม่มีจุดสิ้นสุด จน 92 ปีแล้ว เราก็ยังกังวลกับการรัฐประหารไม่เลิก และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เราจะเลิกกังวลกับปัญหาเช่นนี้เสียที

ภาวะเช่นนี้ ทำให้เส้นแบ่งเวลาในการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เป็นความน่าเศร้าใจในมิติของการสร้างประชาธิปไตย เพราะเส้นแบ่งนี้มี 3 แบบ คือ

1) การเมืองยุคก่อนรัฐประหาร

2) การเมืองยุครัฐประหาร

3) การเมืองยุคหลังรัฐประหาร

หลายครั้งที่ การเมืองไทยเดินมาถึงจุดเวลาที่ 3 แล้ว จนบางทีก็น่าหดหู่ที่การเมืองถอยกลับไปที่จุดที่ 1 ใหม่อีก … ถ้าหลายท่านเคยเล่นเกมส์ตอนสมัยเด็กๆ ท่านรู้สึกไหมว่าการเมืองไทยเหมือนกับเราเล่น “เกมส์บันไดงู” ที่เดินไปข้างหน้าแล้ว ก็ยังตกบันไดงูกลับลงมาที่เดิม ไม่ไปไหนเสียที ซึ่งอาจต้องเรียกว่า “บันไดงูรัฐประหาร”

ภาวะเช่นนี้ จึงเป็นดังการเดินในวังวนแบบ “เกมส์บันไดงู” จนทำให้รัฐประหารกลายเป็นปรากฎการณ์หลักของการเมืองไทยดังที่กล่าวมาแล้วในฐานะของการเป็น “เส้นเวลา” ที่สำคัญทางการเมือง และในอีกด้านก็เป็นภาพสะท้อนว่า การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ดูจะมีอายุสั้น และดำรงอยู่ด้วยความเปราะบาง เช่นดูเหมือน เรากล่าวถึงน้อยมากในเรื่องของการเมืองยุคหลัง 14 ตุลาฯ 16 หรือการเมืองยุคหลังพฤษภาฯ 35 เป็นต้น และช่วงเวลาดังกล่าวก็ดูจะไม่ยาวนัก แม้จะมีผลสะเทือนอย่างมากกับการเมืองไทยในหลายเรื่องก็ตาม

หากเปรียบเทียบแล้ว การเมืองยุครัฐประหาร และยุคหลังรัฐประหารดูจะยาวกว่ายุคประชาธิปไตยมาก เช่น ใครเลยจะคิดว่า ประเทศจะจมปลักอยู่กับการเมืองยุครัฐประหารที่ล้าหลังของ “ระบอบ คสช.” นานถึง 5 ปี และจมอยู่กับยุคหลังรัฐประหารที่ถูกควบคุมโดย คสช. ด้วยการสร้าง “ระบอบพันทาง” (hybrid regime) เพื่อให้ผู้นำรัฐประหารสืบทอดอำนาจต่อไปอีก 4 ปี ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ขณะเดียวกัน ก็มีการออกแบบโครงสร้างทางการเมือง เสมือนหนึ่งมีการขุดหลุมบ่อ ทำหลุมพราง และสร้างสิ่งกีดขวางบนถนนสายประชาธิปไตย เพื่อทำให้เกิดอุปสรรคทุกประการต่อทั้งการจัดตั้งรัฐบาล และการบริหารของรัฐบาลใหม่ เว้นแต่ต้องเป็นรัฐบาลของกลุ่มผู้นำรัฐประหารเดิมเท่านั้น ที่จะสามารถใช้เส้นทางนี้ได้อย่างปลอดภัย … สิ่งที่เป็นอุปสรรคจะไม่เป็นปัญหาหลังเลือกตั้ง 2566 เลย ถ้าผู้นำรัฐประหารได้เป็นแกนตั้งรัฐบาล

ผลจากปัจจัยเช่นนี้ทำให้ระบอบการเมืองหลังการเลือกตั้ง 2566 มีปัญหาและอุปสรรคในตัวเองดังที่ปรากฏให้เห็น และยิ่งถ้ารัฐบาลไม่มีขีดความสามารถในการบริหารประเทศเพียงพอแล้ว รัฐบาลเลือกตั้งจะถูกรุมเร้าจากปัญหาของ “กับดักเดิม” และปัญหาของ “พายุลูกใหม่” ที่เข้ามาพร้อมกัน จึงทำให้รัฐบาลเป็นดัง “รัฐนาวาที่ถูกคลื่นลูกใหญ่ถาโถมไม่หยุด”

ในภาวะเช่นนี้ จึงเสียงถามเสมอว่า “กัปตันเศรษฐา” ที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ หลังจากกัปตันคนเก่าที่ไม่ได้รับความนิยม และถูกปลดออกจากผลของการลงคะแนนของคนในเรือแล้ว กัปตันใหม่จะสามารถนำพา “รัฐนาวาสยาม” ไปรอดในท่ามกลางพายุและคลื่นลูกใหญ่ได้เพียงไร

หากเราลองสำรวจพายุและคลื่นลมแรงที่เข้ามากระแทกรัฐนาวานี้ เราจะเห็นพายุ 5 ลูกใหญ่ที่รอ “กัปตันเศรษฐา” อยู่เบื้องหน้า ดังนี้

1) พายุการเมืองโลก ที่เป็นผลของสงครามเย็นที่เกิดจากการแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่

2) พายุการเมืองไทย อันเป็นผลจากความขัดแย้งและการแข่งขันเชิงอำนาจในตัวระบบการเมืองไทย

3) พายุเศรษฐกิจ เป็นผลพวงจากความพอกพูนของปัญหาเศรษฐกิจภายใต้ระบอบทหาร และสำทับด้วยวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นผลจากโรคระบาด และตามมาด้วยสงครามทั้งในยูเครนและกาซา

4) พายุสังคม อันเป็นผลของความยากจน หนี้ครัวเรือน รวมถึงค่าครองชีพ และราคาสินค้าในชีวิตประจำวันที่สูงมากขึ้นตลอด

5) พายุความมั่นคง ที่เห็นจากปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาสงครามกลางเมืองเมียนมา อันเป็นความท้าทายที่รอคำตอบในยุทธศาสตร์ความมั่นคง

หากพิจารณาเช่นนี้แล้ว เรื่องของ “92 ปี 2475” ดูจะไม่เงียบอย่างที่คิดเลย และปัญหาหลายเรื่องพร้อมที่จะก่อตัวเป็น “พายุใหญ่” และกระแทกรัฐนาวาของ “กัปตันเศรษฐา” อย่างรุนแรงได้เสมอ แต่ในอีกด้าน ก็หวังว่า การเมืองไทยจะไม่ “ตกบันไดงู” ด้วยตัวเลขจากการทอดลูกเต๋าของบางกลุ่มบางคน แต่ถ้าการตก “บันไดงูรัฐประหาร“ ครั้งนี้เกิดจริง ท่านพลเอกอาวุโสมินอ่องล่ายจะมีความสุขอย่างมากทีเดียว !