การเมืองแบบหิวแสง

คำ ผกา

คำ ผกา

 

การเมืองแบบหิวแสง

 

อยู่ๆ ก็มีดราม่าการเมืองอันไม่จำเป็นเกิดขึ้น ราวกับว่าสังคมไทยเราเป็นสังคมเสพติดเฟกนิวส์

นั่นคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไปพูดในรายการวิเคราะห์ข่าวรายการหนึ่งว่า

“ได้ยินมาจากพรรคเพื่อไทยว่ามีความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ให้มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพื่อสกัดไม่ให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง”

คุณหญิงสุดารัตน์เองย้ำหลายครั้งว่า ไม่ยืนยันว่าจริงหรือไม่ แต่ได้ยินมาแบบนั้น

ไม่มีหลักฐานอันจะชวนให้เชื่อแม้แต่อย่างเดียว แต่เมื่อพูดออกมาดังๆ ก็ย่อมทำให้สังคมเข้าใจว่า “ไม่มีมูลหมาไม่ขี้” แล้วก็สร้างกระแสข่าวทำให้มีชื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ในหน้าสื่ออีกไม่ต่ำกว่าสาม-สี่วัน จากที่เคยเงียบๆ ไม่มีกระแส ก็ทำให้ได้พาดหัวไปอีกครั้งกันคนลืม

สิ่งที่ฉันสะเทือนใจมากกว่าคือ ไม่มี “สื่อ” ไหนนึกอยากจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งไปกว่า “พรรคเพื่อไทยกลัวพรรคก้าวไกลมาก ใครๆ ก็กลัวพรรคก้าวไกลมาก ดังนั้น จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะสกัดความยิ่งใหญ่โอฬารของพรรคก้าวไกล”

เพราะถ้าลงไปสำรวจคอนเส็ปต์ของการมี ส.ส.บัญชีรายชื่อจริงๆ จะพบว่า การมีหรือไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่ได้กระทบต่อความพ่ายแพ้ หรือชัยชนะของพรรคเพื่อไทย

และไม่กระทบทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ของพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน

ดังนั้น จึงมีแต่คนปัญญาเสื่อมเท่านั้นที่จะเชื่อนิทานหลอกเด็กแบบนี้

 

ประการแรก มาดูกันก่อนว่า ทำไมเราต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

คำตอบคือ เป็นฉันทามติของทุกพรรคการเมืองที่เห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นผลไม้พิษของเผด็จการ การออกแบบรัฐธรรมนูญให้แก้ไขยาก ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ตีความได้หลายแบบ ทำให้เกิดภาวะ “สุญญากาศการตีความตัวบท”

และนั่นเท่ากับว่าเมื่อมีปัญหาใดๆ ทางกฎหมาย จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสมอ

วัตรปฏิบัติเช่นนี้ทำให้องคาพยพที่เป็นตัวแทนของประชาชนคือ พรรคการเมือง สภาผู้แทนราษฎร และตัว ส.ส.เอง อ่อนแอ ทำงานไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ติดขัด อึดอัดไปกันหมด ทำอะไรก็เสี่ยงโดนร้อง ระหว่างรอคำวินิจฉัยก็เหมือนมีมีดปักหลังไว้ตลอดเวลา

ผลก็คือ ทำงานไม่ได้ตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ถูกมัดมือมัดเท้าไว้

พอเป็นแบบนี้ ประชาชนก็จะเบื่อหน่ายการเมือง เบื่อหน่ายนักการเมือง เบื่อหน่ายรัฐบาล รู้สึกว่าเลือกตั้งไปก็เท่านั้น ตัวแทนของเราไม่เก่ง ทำงานไม่ได้ผล ล้มเหลว เกลียดชังรัฐบาลไปอีก

ส่วนฝ่ายค้านก็จะได้โอกาสซ้ำเติม ดิสเครดิตรัฐบาล ว่าไม่กล้า ไม่แน่จริง หรือบางทีเป็นคนไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเสียเอง ตีรวนทางการเมืองหาคะแนนเสียงไว้ก่อน

โดยภาพรวมมันถูกออกแบบมาให้ประชาธิปไตยอ่อนแอ พรรคการเมืองอ่อนแอ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอ่อนแอ

 

ประการที่สอง ทุกคนเห็นแล้วว่า พ.ร.ป.ประกอบการเลือกตั้งมีปัญหา ดูจากเรื่องการเลือก ส.ว.ครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเรามีกติกาการเลือก ส.ว.ที่ประหลาดล้ำ เช่น คนที่จะมีสิทธิออกเสียงเลือก ส.ว. ต้องเป็นผู้สมัคร ส.ว.เท่านั้น ต่อมาคือคะแนนเท่ากันต้องจับสลาก ต้องอายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปคือ เป็น ส.ว.ที่ไม่แน่ใจว่าจะยึดโยงกับประชาชนจากจุดไหน หรือจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน มาทำหน้าที่ ส.ว.ในสภาสูงจริงๆ

เมื่อเป็นฉันทามติของทุกพรรคการเมืองที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หนึ่งในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับยังต้องทำบนกติกาที่รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำประชามติ การได้มาซึ่ง ส.ส.ร. จะเป็น ส.ส.ร.เลือกตั้งทั้งหมด หรือสรรหาบางส่วน ณ วันนี้ก็ยังถกเถียงกันอยู่

เพราะฉะนั้น จึงอาจพูดได้ว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นเรื่องของรัฐสภา และฝ่ายนิติบัญญัติทุกคน ไม่ใช่เรื่องพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว

สรุปให้อีกรอบว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นผู้กำหนดและไม่มีปัญญาไป “สั่ง” ใครต่อใครว่า ฉันต้องการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามฉันปรารถนา

คำว่า “จินตนาการบริสุทธิ์” ที่ นพดล ปัทมะ พูดจึงไม่เกินจริง

แค่ตระหนักว่าสิทธิในการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว และในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลที่มีเสียง ส.ส.ในมือแค่ 141 เสียง ผู้มีปัญญาก็ควรรู้ได้ว่า พรรคเพื่อไทยกระจอกเกินกว่าจะไป dictates หรือสั่งการใครให้ซ้ายหันขวาหันได้

 

ทีนี้มาดูคอนเส็ปต์ของ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ถูกออกแบบมาในรัฐธรรมนูญปี 2540 มันถูกออกแบบมาเพื่อแก้จุดที่เราเรียกว่าเป็น pain point ของการเมืองไทย นั่นคือ การเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา เป็นการเลือกโดยยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าเลือกจากนโยบายของพรรคการเมือง

ทำให้พรรคการเมืองถูกตั้งขึ้นมาแล้วหมดอายุขัยไปโดยง่าย ไม่มีความต่อเนื่อง ไม่มีพัฒนาการเป็นสถาบันทางการเมืองที่ส่งต่ออุดมการณ์ เครือข่าย แบรนดิ้ง แนวคิด

เป็นแค่การรวมตัวกันของคนที่หวังชัยชนะในการเลือกตั้งระยะสั้น

และฉันยังจำได้ดีว่า ในห้วงเวลาที่จะมีรัฐธรรมนูญปี 2540 นั้น ปัญญาชน นักวิชาการไทย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีอยากให้มีพรรคการเมืองหลายพรรค อยากให้มีพรรคใหญ่สักสองพรรคแข่งกันยิ่งดี

พรรคการเมืองจะได้เป็นตัวแทนของหลักการ อุดมการณ์ ไม่ใช่เป็นเพียงการรวมตัวกันของคนที่มีอิทธิพล มีบารมี หรือมีชื่อเสียงเพียงชั่วครั้งชั่วคราว

ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่นำเสนออุดมการณ์ นโยบายที่ชัดเจนกับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ ขณะเดียวกันก็ขายตัวบุคคลที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคนในพื้นที่ได้ด้วย จึงออกแบบการเลือกตั้งให้เป็นระบบคู่ขนาน นั่นคือ มีบัตรเลือกตั้งสองใบ ใบหนึ่งเลือก ส.ส. (ตัวบุคคลที่ชอบ) อีกใบเลือกพรรคที่มีอุดมการณ์ หรือนโยบายที่ตรงกับรสนิยมของตัวโหวตเตอร์

จากระบบการเลือกตั้งคู่ขนานนี้เอง ทำให้พรรคการเมืองก็สามารถอุดช่องโหว่ของตัวแคนดิเดต ส.ส.ได้เช่นเดียวกัน เพราะปัญหาที่มักเจอคือ คนทำงานพื้นที่เก่ง แต่ไม่เก่งงานบริหาร คนทำงานบริหารเก่งก็ไม่เก่งเรื่องงานพื้นที่หรืองานมวลชน

พูดง่ายๆ ว่า ระบบนี้พรรคการเมืองทำงานง่ายขึ้นและบริหารนโยบาย ส่งต่อนโยบายที่หาเสียงไปยังประชาชนได้จริงๆ

และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จ สร้างพรรคการเมืองในฐานะที่เป็นสถาบัน มี “ภาพจำ” ว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีจุดแข็งเรื่องเศรษฐกิจ เป็นประชาธิปไตยกินได้มาจนถึงทุกวันนี้

หากมองว่าเหตุผลของระบบการเลือกตั้งคู่ขนาน บัตรสองใบ ตอบโจทย์เรื่องอะไรบ้าง จะไม่มีคนไร้ปัญญาที่ไหนมาพูดว่า พรรคเพื่อไทยอยากยกเลิกปาร์ตี้ลิสต์ เพราะเห็นว่าตนเองมีบ้านใหญ่ มีโอกาสชนะในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมากกว่า

เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า ในพื้นที่อย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่พรรคเพื่อไทยชนะยกจังหวัดมาแล้ว ยังแพ้พรรคก้าวไกลยับเยิน

มองแค่นี้ก็ต้องรู้แล้วว่า ต่อให้พรรคเพื่อไทยอยาก “ปราบ” พรรคก้าวไกลจริง การมีแต่ ส.ส.เขตก็ไม่ใช่วิธีที่พรรคเพื่อไทยได้เปรียบ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน พูดถึงเรื่องนี้ว่า “เลอะเทอะ” จึงไม่เกินจริงแม้แต่น้อย

 

โจทย์การกำจัดพรรคก้าวไกลจึงไม่น่าสนใจเท่ากับ ทำไมพรรคเพื่อไทยที่แม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะพ่ายแพ้ต่อพรรคก้าวไกล จากพรรคที่เคยเป็นขวัญใจมหาชน ลงเลือกตั้งทุกครั้งชนะทุกครั้ง ในวันนี้ทำได้ดีที่สุดแค่ 141 ทำไมจึงยังคงความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะ “ผี” ที่คอยหลอกหลอนทุกคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย และยังคงเป็นเป้าหมายที่ทุกคนอยาก “ล้ม” ให้ได้มากกว่า

สำหรับสลิ่มเฟสหนึ่ง ก็ยังคงจองล้างจองผลาญทักษิณ ชินวัตร เดี๋ยวโดนเรียกไอ้หน้าเหลี่ยม เดี๋ยวโดนเรียกเป็นนักโทษชาย เดี๋ยวโดนเรียกเป็นเทวดา ประเดี๋ยวก็เชื่อว่าทักษิณดีลทุกอย่างบนโลกใบนี้ ซื้อทุกอย่างบนโลกใบนี้

สุดท้ายก็บอกว่า พรรคเพื่อไทยคืออวตารของทักษิณ คือศัตรูตัวร้ายของประเทศ (ถามว่าร้ายยังไงก็ตอบไม่ค่อยได้อย่างเป็นรูปธรรม ขายชาติบ้าง ทรยศบ้าง โกงบ้าง กำกวมมาก)

อะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย คนเหล่านี้ก็จะเกลียดไว้ก่อน อยากกำจัดให้สิ้นซากไว้ก่อน

สำหรับสื่อมวลชน และนักวิชาการ นักคิด นักเขียน ศิลปิน การเกลียดพรรคเพื่อไทยเป็นทางลัดของการดูเป็นคนฉลาด ดูเป็นคนรู้เท่าทันความชั่วร้ายของพรรคการเมือง และดูเป็นคนดีมีอุดมการณ์ by default

ที่สำคัญการเกลียดพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย นอกจากดูเท่แล้ว ไม่ต้องเสี่ยงต่อการติดคุกติดตะราง เป็นหนทางสู่การเป็นคนฉลาด รู้เท่าทันนักการเมืองที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นความเสี่ยงใดๆ เลย

สำหรับ “คนหัวก้าวหน้า” การสถาปนาให้ทักษิณและพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคนายทุน พรรคบ้านใหญ่ ก็ทำให้ตนเองได้สถาปนาความเป็นซ้าย สังคมนิยม ทลายทุนสามานย์ ปฏิรูปโครงสร้าง โดยไม่ต้องลงมือทำอะไรให้สัมฤทธิผลจริง

พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมของพวกซ้ายวอนนาบีที่สะดวกที่สุด

 

นี่คือเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยจึงมีศัตรูรอบทิศ

สายอนุรักษนิยมตัวตึงก็ไม่ไว้ใจ

ปัญญาชนสาธารณะก็ไม่เอา

คนหัวก้าวหน้าก็ไม่เอา

ส่วนพวกกุ้งหอยปูปลาที่กำลังจะอับแสงก็ยังสามารถใช้พรรคเพื่อไทยเป็นตัวโหนไว้หาซีนหาแสง

เพราะการลุกมาด่าหรือดิสเครดิตพรรคเพื่อไทยด้วยพล็อตว่า อีพรรคนี้เป็นพรรคผู้ทรงอิทธิพลใช้เกมสกปรกทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้ครองอำนาจรัฐก็จะเป็นพล็อตที่มีคนพร้อมซื้อตลอดเวลาแม้ว่ามันจะไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด

แต่พรรคเพื่อไทยตัวจริงเสียงจริงเป็นอย่างไร?

 

ฉันคิดว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่น่าเห็นใจ (ก็ฉันมันนางแบก) พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่ภารกิจในการแบกประวัติศาสตร์ของพรรคทั้งในด้านของการเป็นผู้ถูกกระทำ

นั่นคือการถูกรัฐประหารสองครั้ง ถูกยุบพรรคจนขี้เกียจนับว่ากี่ครั้ง

มีประวัติศาสตร์ของการเป็นพรรคการเมืองที่สร้างประวัติศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย เป็นพรรคที่ถูกชนชั้นกลางเกลียดมาก แต่ก็ถูกรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจากมวลชนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้เดนตาย ที่เลือกจะรักทั้งจากผลงานและความเห็นใจในฐานะพรรคที่ถูกกลั่นแกล้ง

แต่ภาพอีเย็นที่ถูกกระทำ พรรคเพื่อไทยก็ยังคงภาพของพรรคที่คอนเน็กชั่นแข็งปั๊ก แถมยังเป็นพรรคมหาเศรษฐี

รวยจนทุกครั้งที่เราสงสารเขา เราก็จะกลับมาดูตัวเองว่า สารรูปอย่างฉันเนี่ยไปสงสารเศรษฐีขี่เครื่องบินเจ็ต

พรรคเพื่อไทยยังมีประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถนนที่เป็นมหากาพย์ของการเมืองไทย นั่นคือการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ที่สำหรับฉันทุกบทปราศรัยของเวทีเสื้อแดงจากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่มี “บทไหนของใคร” ที่จะแรดิคัลเท่าที่ปรากฏอยู่บนเวทีคนเสื้อแดง

พร้อมๆ กันนั้นภาพของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงก็ยังมีความอนุรักษนิยมสูงยิ่ง คู่ขนานไปกับการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี อันเป็นที่มาของคำว่า “สู้ไปกราบไป”

และจากภาพนักสู้วันนี้พรรคเพื่อไทยยังถูกส่งมาอยู่ในตำแหน่งของผู้ประสานสิบทิศในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศจากความขัดแย้งมายาวนานกว่าสองทศวรรษ ไปสู่สถานะของสังคมที่กำลังซ่อมสร้างตัวเองไปสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตย

 

ด้วยประวัติศาสตร์ของพรรคที่ยอกย้อนทั้งขัดแย้งในตัวเองไปพร้อมๆ กัน ทำให้พรรคเพื่อไทยมีทั้งพันธกิจต่ออดีตของตัวเองที่เป็นความยิ่งใหญ่ มีบาดแผลที่ต้องเยียวยา และมีอนาคตอันประหวั่นพรั่นพรึงรออยู่ข้างหน้า

พร้อมกันนั้นในห้วงสองทศวรรษแห่งการถูกรัฐประหาร ก็ทำให้ตัวพรรคเองแตกฉานซ่านเซ็น คนรุ่นเก่าพลัดพรากสูญหาย ย้ายพรรค ลี้ภัย แตกคอ กบดาน ถือศีล สิ้นเรี่ยวแรงไปก็มากจากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า

หวนกลับมาในวันที่ต้องซ่อมร่างกันใหม่ ตื่นขึ้นมาสบตากันกลายเป็นคนรุ่นลูก ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น nepotism หรืออีพวกลูกท่านหลานเธอในพรรค ต้องมาเป็นนักการเมืองเพราะตกกระไดพลอยโจนหรือเปล่า มีความรู้จริงหรือเปล่า สมองกลวงหรือเปล่า

พวกเขาจึงเป็นคนเพื่อไทยในเจเนอเรชั่นที่ถูก “ตีตรา” gaslight ไปล่วงหน้าแล้วว่า ไม่เก๋ ไม่เก่ง บ้านรวยเฉยๆ

โจทย์สำหรับพรรคเพื่อไทยเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องแพ้ หรือชนะการเลือกตั้ง

แต่เป็นเรื่องของการสร้างความเป็นสถาบันทางการเมืองในพรรคขึ้นมาใหม่ให้ได้

ชนะการเลือกตั้งในสมัยหน้าหรือไม่ ยังไม่สำคัญเท่ากับปฏิรูปโครงสร้างในพรรคให้มีความเป็นสถาบัน มีโครงสร้างการทำงานที่อิงอยู่กับระบบมากกว่าตัวบุคคล

พรรคการเมืองไหนสร้างสิ่งนี้ได้ก่อน ชัยชนะในระยะยาวจะเป็นของพรรคการเมืองนั้น

ส่วนพรรคไหนที่คิดอะไรไม่ออกแล้วเที่ยวมาวิ่งเล่นเอาแสงและกระแสในระยะสั้น บอกได้เลยว่า พรรคการเมืองนั้นไม่มีอนาคต