‘จักรภพ เพ็ญแข’ แนะตรงๆ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้า ‘เพื่อไทย’ จะ copy ‘ก้าวไกล’

หมายเหตุ รายการ “เอ็กซ์-อ๊อก talk ทุกเรื่อง” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี สนทนากับ “จักรภพ เพ็ญแข” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังเดินทางกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยได้หลายเดือนแล้ว นี่คือคำถาม-คำตอบที่น่าสนใจบางส่วนจากบทสัมภาษณ์ดังกล่าว

: ยุคก่อนหน้านี้ “ไทยรักไทย” (เพื่อไทย) ถือเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ในเวลานั้น แต่ปัจจุบัน หลายคนมองว่าภาพนั้นมันมาอยู่ใน “ก้าวไกล” ถ้าเทียบกัน สองพรรคนี้เหมือนกันไหม?

มันไม่ใช่คำว่า “ใหม่” คำที่ร่วมกันระหว่างไทยรักไทยกับก้าวไกลทุกวันนี้คือคำว่า “เปลี่ยน”

ในยุคนั้น เขา (ประชาชน) เชื่อว่าไทยรักไทยจะพาเขาเปลี่ยน ในยุคนี้ เขาคิดว่าก้าวไกลจะพาเขาเปลี่ยนได้มากกว่า กุญแจอยู่ที่คำว่าเปลี่ยน เพราะฉะนั้น คนถึงถามว่า ก็พี่เล่นเอาคนหน้าเก่ามาหมด แล้วมันจะเปลี่ยนยังไงล่ะพี่? หรืออีกข้างหนึ่งเขาถามว่า เล่นเอาหน้าใหม่มาหมด แล้วมันจะไม่ตกเหวเหรอน้อง?

มันก็ต่างคนต่างเชื่อ แล้วหาเหตุผลมาถล่มอีกข้าง เราไม่รู้ข้างไหนมีมากกว่า เพราะที่ผ่านมา มันก็ห่างกันแค่สิบที่นั่ง มันก็บอกยาก แล้วคราวนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง

ตอบอย่างนี้แล้วกันว่า ถ้าจะจับคู่กัน ถ้าจะเอาไทยรักไทยในตอนนั้นหรืออนาคตใหม่มาจับคู่กัน หรือปัจจุบันคือเพื่อไทยกับก้าวไกล มันอาจจะมองอะไรไม่เห็นชัด ถ้าจะเปรียบเทียบมันต้องเอาไทยรักไทยไปชนกับประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พลังธรรม

พลังธรรมก็คือก้าวไกลในยุคนั้น เสร็จแล้วตอนหลังก็พบว่า ถ้าบริหารไม่ดีแล้ว ต่อให้เอาธรรมะมาช่วย ก็ช่วยไม่ได้ เลยยุบพรรคพลังธรรมไป

แล้วตอนหลัง ก็เกิดมีขบวนการเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งเสื้อแดงแบบอนุรักษนิยม เสื้อแดงแบบที่เรียกว่าก้าวหน้า เรียกว่าขวาหรือซ้ายก็แล้วแต่ ในความรู้สึกของผมเอง ก็คิดว่าส่วนหนึ่งของพลังเสื้อแดงมันมาจุดกระแสบางอย่างที่นำมาสู่การกลายมาเป็นอนาคตใหม่ต่อไปด้วย

ไม่ได้พูดว่าเสื้อแดงนำมาสู่อนาคตใหม่ แต่กำลังพูดว่า มันไม่มีอะไรที่กระโดดจากซีนหนึ่งไปสู่อีกซีนหนึ่ง โดยไม่มี “ทางทอดไป” แล้วการที่ทอดไปก็ไม่ได้แปลว่าเสื้อแดงตั้งใจนะ บางทีเรามองไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

คือเสื้อแดงเป็นยังไง? ต้องถามก่อน ผมเป็นเสื้อแดง เป็นผู้ก่อตั้งด้วย เสื้อแดงเป็นขบวนการที่พาคนไปสู่จุดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นในทางความก้าวหน้าในยุคนั้น เสร็จแล้วมาถึงจุดหนึ่ง “หยุด” แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง

ทีนี้ กระบวนการเลือกตั้งมันใช้ความนิยมอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีการบริหารจัดการพื้นที่ ก็ทำให้ “บ้านใหญ่” ยังต้องมี เพราะบ้านใหญ่เขาล็อกพื้นที่ได้ด้วยระบบที่เขาวางเอาไว้ บวกกับกระแสความนิยมที่มีมา มันถึงจะกลายเป็นชัยชนะ

คืออย่างนี้ บ้านใหญ่เขาพอจะรู้แล้วว่า เลือกตั้งครึ่งสภาเขาคุมได้ตรงไหนบ้าง แต่สิ่งที่เหลืออีกครึ่งสภาคือความนิยม ซึ่งไม่รู้กระแสจะพาไปทางไหน ตรงนี้ก็ไม่ใช่ไม่มีความสำคัญ เพราะแต่ละพรรคมันไม่ต่างกันมากหรอก มันต่างกันตรงความนิยม

ปัญหาก็คือว่า เมื่อเราลองเปรียบเทียบขบวนการต่อสู้ทางการเมืองกับพรรคอนาคตใหม่ พี่คิดว่ามันคล้ายกันเพราะอะไร เพราะมันกำลังเรียกร้องโหยหาจะ “เปลี่ยนอะไรบางอย่าง” ด้วยกัน มันอยู่ในอารมณ์เดียวกัน อารมณ์อยากจะเปลี่ยน

ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ คนที่โกรธกันมากที่สุด คือ “ด้อมแดง” กับ “ด้อมส้ม” ใส่กันยับเพราะมันมาจากรากเดียวกัน แต่มันต้องการจะสู้เพื่อให้รู้ว่าเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างไร

พี่น้องบางคู่สู้กันแทบตาย เพราะมันเหมือนกันเกินไป จนกระทั่งไม่รู้แล้วว่าเรายืนอยู่บนอะไร เรามอบชีวิตทั้งชีวิต เราอยากจะให้ชัดว่าเรานี่คือฝ่ายก้าวหน้า เสื้อแดงไม่ใช่แล้ว เสื้อแดงคืออนุรักษนิยมใหม่

ตรงนี้เราก็มาเถียงกันได้ แต่วันนี้อย่าเพิ่งไปพูดเลย มันมีมาฝ่ายเดียว อาจจะไม่เป็นธรรม สำหรับพี่ จริงๆ แล้ว ไทยรักไทยไม่ใช่อนาคตใหม่ และเพื่อไทยก็ไม่ใช่ก้าวไกล แต่ขบวนการต่อสู้ทางการเมืองมันกลายมาเป็นพรรคก้าวหน้าในอดีต พรรคพลังใหม่ในอดีต พรรคพลังธรรมในอดีต มาเป็นพรรคอนาคตใหม่หรือก้าวไกล มันมีของมันทุกยุค “ลัทธิแก้”

แต่ประวัติศาสตร์ก็บอกนะ ว่า “ลัทธิแก้” นี่อยู่ไม่นาน แล้วเวลาลง ลงวูบหายไปเลย เพราะว่าเขา (ประชาชน) ต้องการตรงนี้เป็นแค่ “ทางออกชั่วคราว” คือสุดท้ายการเมืองของทุกประเทศมันกลับมาสู่สายกลาง แต่เป็นสายกลางเอียงซ้ายหรือสายกลางเอียงขวา

สุดท้ายการเมืองมันคือเอาคน 77 ล้านคนมาหาร แล้วได้ค่าเฉลี่ยออกมาตรงไหนคือตรงนั้น ซึ่งมันก็กลายเป็นไม่ได้เอาใจใครสักฝ่าย พูดง่ายๆ คือรัฐบาลที่เป็นกลางจริงๆ คือรัฐบาลที่ไม่ได้เอาใจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลย เพราะมันเอามาหารกันหมด ไม่มีใครได้ทั้งหมด

แต่ปัญหาคือทุกวันนี้ เด็กๆ ครอง “เศรษฐกิจดิจิทัล” เพราะฉะนั้น เด็กๆ ก็เลยคิดว่าเรามีสิทธิ์ที่จะบัญชาการ เพราะว่าอาวุธหลักคือเศรษฐกิจดิจิทัล

พวกเด็กๆ ก็งง เพราะผู้ใหญ่มันเจ้าเล่ห์กว่านั้น เด็กๆ ก็คิดว่าไอ้เล่ห์เหลี่ยมตรงนั้นมันมาจากตรงไหน? ก็มาจากอีก 20 ปีข้างหน้าของคุณนั่นแหละ ที่คุณจะได้รู้ว่าสันดานคนมันเป็นยังไง

 

: ในฐานะที่เป็นคนโดดเด่นเรื่องงานสื่อสารทางการเมือง ถ้ามองพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลในปัจจุบัน แต่ละพรรคมีจุดเด่นอย่างไร?

แน่นอนเลย ก้าวไกลไปไกลกว่าเยอะ ในแง่ของการใช้ประโยชน์จาก “เครื่องมือใหม่” มันเหมือนเครื่องมือใหม่เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว และเพื่อไทยก็ยังรับแล้วไปยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะไปวางไว้ตรงไหนดี มันเหมือนคนละรุ่นใช้ของเดียวกัน

ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้บอกว่าเพื่อไทยทำไม่ดี แต่หมายความว่าเพื่อไทยทำให้ดีกว่านี้ได้ แล้วเวลา (รัฐบาล) ก็เหลือไม่เยอะแล้ว เพราะสองปีกว่านี่มันจะปรู๊ดไปเลย เพราะฉะนั้น จากนี้ไปต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ความกดดันมันไปอยู่ที่ก้าวไกล เพราะก้าวไกลต้องรักษาแชมป์ใช่ไหม เพื่อไทยก็มีแต่จะดีขึ้นใช่ไหม ก็จะกดดันน้อยกว่า

ถ้าถามเฉพาะเรื่องการสื่อสารทางการเมือง สำหรับผม พูดแบบไม่อาย อาจจะพูดอย่างหน้าด้านเลยว่า การลอกเลียนแล้วนำมาพัฒนาต่อยอด (copy and develop) ไม่เป็นไรหรอก เขา (ก้าวไกล) ทำดีแล้วเราก็เอาเลย แล้วก้าวข้ามไป

ดูซิ อัลกอริธึ่มที่ก้าวไกลใช้สองอาทิตย์สุดท้ายคราวที่แล้ว ถ้าเพื่อไทยใช้ ใช้เป็นไหม? “มี ป. (ลุง) ไม่มีเรา มีเราไม่มี ป. (ลุง)” จะได้รู้ไง ว่าความต้องการของคนสิบล้านคนที่ย่อมาเป็นประโยคเดียว ทำยังไง

ถ้าเขาทำสำเร็จ เราก็ต้องทำได้ มันอาจจะเป็นหมุดหมายใหม่ของการสื่อสารทางการเมืองก็ได้ จะไปอายอะไร มันพากันไปด้วยกัน ก็ขึ้นไป แล้วก้าวไกลก็ต้องระวังว่าเพื่อไทยเขาใช้เป็นเหมือนกันเว้ย ตัวเองก็ต้องไปอีกขั้นหนึ่ง ลองดู

ถ้าไปถึงจุดไหนที่คนรู้สึกว่ามันเสแสร้งนี่หว่า มันหลอกนี่หว่า มันไม่ใช่นี่หว่า เขาก็ตบปากกันเอาเอง

 

: ถ้ามีจังหวะที่จะกลับเข้าไปช่วยงานพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลชุดนี้ มีความลังเลที่จะเข้าไปไหม?

ไม่ลังเล ออกจากนี่ (การบันทึกเทปรายการ) จะไปเลยก็ได้

ก็ยังอยู่ในการเมืองน่ะ ใจอยากทำงาน ก็เป็นอาชีพเดียวที่บอกเลยมันต้องการอำนาจ

แล้วจะเอาอำนาจไปทำงาน ก็มีแค่นั้นเอง