ธิดา ถาวรเศรษฐ ประเมิน ‘เพื่อไทย’ ในสายตาฝ่าย ‘จารีต’ ยังเป็น ‘สิ่งจำเป็น’ แต่ ‘ไม่ไว้วางใจ’

ธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดใจกับ “มติชนสุดสัปดาห์” ในช่วงการเมืองเดือด ทั้งเรื่องร้อนในศาลรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ตกลงใครเป็นคนคุมเกมนี้

อ.ธิดามองว่า ช่วงนี้ฝั่งจารีตอำนาจนิยมเป็นผู้คุมในระยะสั้น และมองภาพย้อนที่ผ่านมา ตั้งแต่ 2475 คณะราษฎรกุมอำนาจอยู่ได้เพียง 15 ปี หลังจากนั้น ฝ่ายที่มาคุมอำนาจกลายเป็นกองทัพ และเป็นกองทัพที่ยังสามัคคีขึ้นกับฝั่งจารีตนิยม

บทเรียนที่ผ่านมา ถ้าหากกองทัพไม่เป็นอันเดียวกันกับจารีต ฝั่งจารีตก็สามารถที่จะต้องการโค่นล้มทหารชุดใดก็ได้

เพราะฉะนั้น เกมของฝั่งจารีตอำนาจนิยมต้องพยายามสามัคคีกับกองทัพ และไปกันได้ดีพอสมควร

ที่ผ่านมาเกมของการช่วงชิงอำนาจของฝั่งจารีตอำนาจนิยมที่ได้เกิดขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษหลังที่เราเห็นได้ชัด อย่างในปี 2549 และ 2557 ถึงทุกวันนี้ยังพยายามจะควบคุมให้ได้ โดยมีการปรับรูปแบบมาใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมเกม โดยเฉพาะปี 2557 ซึ่งการใช้กฎหมายในการควบคุมเกม ภายใต้คำขวัญ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามแบบของจารีต

และเมื่อใดที่ดูเหมือนจะควบคุมไม่อยู่ก็ใช้อำนาจของกฎหมายมากขึ้นๆ ในการจัดการอย่างที่ไม่น่าเชื่อ เช่น การยุบพรรคการเมือง การลงโทษเยาวชน โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 การจับกุมคุมขังและการที่ให้พรรคการเมืองและวุฒิสมาชิกปฏิเสธการแก้ไขมาตรา 112 ในทัศนะส่วนตัวมองว่าเป็นความพยายามที่กล้ามาก

ดังนั้น องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ทั้งหมดถ้ายังอยู่ในมือของชนชั้นนำ จารีตอำนาจนิยม ก็จะเป็นอาวุธชั้นดีในการประหัตประหารฝ่ายก้าวหน้า

ในความคิดของดิฉันมองว่า ระยะสั้นจะคุมเกมได้ระดับหนึ่ง แต่ระยะยาวผู้คุมเกมจริงๆ ต้องเป็นประชาชน ยกเว้นว่าฝั่งจารีตอำนาจนิยม คือเรียกว่า ถ้าไม่โง่อย่างสุดสุดนะ ก็ต้องยอมแลกแบบถวายหัวเลย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นแบบพม่า เนื่องจากประชาชนมีการตื่นตัว มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว

แน่นอนประชาชนต้องการชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการเสถียรภาพทางการเมือง ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่มีอนาคต มองเห็นความหวังที่เปลี่ยนไป

: ชนชั้นนำจะไปฝากความหวังไว้ที่ใคร?

ขณะนี้ประเทศไทยดุลอำนาจฝั่งประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว 70% เหลือพื้นที่สำหรับอนุรักษนิยม จารีตนิยม เผด็จการอำนาจนิยม 10% กว่าๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ประชาชนเปลี่ยนไปแล้วไม่ได้ต้องแค่การให้อยู่สบายแล้วมีเศรษฐกิจดี แต่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ

ดังนั้น ระยะยาวต้องแลกกัน คือประชาชนจะต้องเป็นผู้ที่กำหนดชะตากรรมเอง เป็นสิ่งที่เป็นสากล ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นระบอบการเมืองระบอบเดียวที่ได้รับความชื่นชมหรือได้รับการยอมรับมากที่สุด เพราะวินวินทั้งคู่

คุณเป็นฝ่ายอนุรักษ์ จารีต คุณก็ตั้งพรรคมาแข่งกัน ขับเคลื่อนทางความคิด คุณมีปัญญาไหม?

แต่ถ้าคุณไม่ยอม คุณใช้แต่อาวุธปืนกับอาวุธกฎหมาย ถือเป็นความเสี่ยง ถ้าไม่ปรับตัว

ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนของฝั่งจารีตอำนาจนิยม แต่พิสูจน์ให้เห็นว่าล้มเหลวและประชาชนไม่เอา ถ้าขืนฝากความหวังไว้ที่ประชาธิปัตย์ต่อ คงต้องทำรัฐประหารไม่รู้จบ

เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ดูเหมือนประชาชนเทคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐเสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของฝั่งจารีตอำนาจนิยม แต่ตอนนี้ไม่ใช่ คุณประยุทธ์ไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ สะท้อนให้เห็นว่ามีความขัดแย้ง ถ้าหากดิฉันลองมองไม่มีความหวังเลยกับพรรคไหน

การใช้กลยุทธ์ดึงพรรคเพื่อไทยมาอยู่กับฝั่งจารีตอำนาจนิยม เป็นการพลิกยุทธวิธีเพื่อจะคงอำนาจไว้ อย่างไรก็ตาม ฝั่งจารีตอำนาจนิยมไม่ได้มีแต่เพียงเหล่าลุงๆ เท่านั้น และยังมีความไม่เป็นเอกภาพสูงมาก ขนาด 2 ลุงก็ไม่เป็นเอกภาพ จะเห็นได้ว่าในอดีตก็เคยโจมตีคุณทักษิณ พรรคเพื่อไทยเยอะ หากตอนนี้ถ้าจะมาชื่นชมอาจจะทำไม่ได้

ซึ่งดึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นยุทธวิธี เพื่อที่จะมาทำให้แพที่กำลังจะล่ม ลอยต่อไปได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยดูเป็นแพที่แข็งแรงมีแรงยึดมาก หมายถึง มีผู้คนมาก เลยเอาแพที่กำลังจะล่มมาผูกติดด้วย แต่สุดท้ายดิฉันว่ามันจะล่มด้วยกันหมด

จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าแล้วฝ่ายอนุรักษนิยม จะให้พรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนของเขาหรือเปล่า ดิฉันว่าเป็นไปได้ยาก เพราะว่าในพรรคเพื่อไทยมีพื้นฐานของฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะผู้ลงคะแนนเสียง (voter)

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยมีเวลาแค่สมัยนี้ (Period) เท่านั้น ถ้าสมัยนี้คุณไม่ดำเนินการอะไรก็ตามทางการเมือง ที่เป็นการสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตที่ดี ครั้งหน้าลำบากแน่ 10 ล้านเสียง คุณจะรักษาไว้ได้แค่ไหน มีเวลาแค่นี้เท่านั้น ถ้าเพื่อไทยกล้าที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วได้รับอนุญาตให้ทำได้แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่เป็นความหวังที่เหลือเชื่อ เมื่ออำนาจนิยมไม่ต้องการให้เปลี่ยน แต่ประชาชนต้องการเปลี่ยน แล้วถ้าพรรคเพื่อไทยเปลี่ยนตามประชาชน พรรคเพื่อไทยก็ได้ประชาชน แต่ก็อาจจะโดยจารีตนิยมจัดการ

ดังนั้น เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายเลยสำหรับฝั่งจารีต และเป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายสำหรับเพื่อไทยด้วย คุณจะอยู่ยังไง คุณจะล่มสลายด้วยการที่ประชาชนปฏิเสธ หรือว่าคุณจะต้องถูกจัดการด้วยฝั่งจารีตอำนาจนิยม เป็นโจทย์ของเพื่อไทยว่าจะอยู่ยังไง เป็นเรื่องที่เพื่อไทยต้องไปคิดเอง ไม่ใช่เรื่องของเรา เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้

เพื่อไทยจะต้องเลือกเอาว่าจะไปทางไหน ถ้าคุณเป็นพรรคการเมืองที่ต้องการให้ได้รับความนิยมจากประชาชน คุณก็ต้องทำให้ประชาชนถูกใจ แต่ถูกใจตอนนี้ไม่เหมือนตอนไทยรักไทยแล้วนะ ตอนนั้นคุณทำเศรษฐกิจได้ดีประชาชนโอเค แต่ตอนนี้ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเมืองไม่ดีเศรษฐกิจก็ไปไม่ได้ ไม่มีเสถียรภาพ ฝั่งประชาธิปไตยก็ไม่มีเสถียรภาพ ฝั่งอนุรักษนิยมก็ไม่มีเสถียรภาพ

เพราะฉะนั้น ประชาชนเข้าใจการเมือง ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองเพื่ออนาคตที่ดี ไม่ใช่โจทย์แบบไทยรักไทย คุณทำให้ได้แบบไทยรักไทยก็ยาก เพราะถูกเตะตัดขา คุณจะทำ Digital wallet ก็ยากมาก ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า เศรษฐกิจก็ทำยาก นโยบายทางการเมืองคุณก็ทำยาก เพราะว่าคุณต้องทำตามใจอำนาจนิยมซึ่งขัดกันกับประชาชน เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องไปแก้ปัญหาเอง

ถ้าทำตามใจฝั่งจารีต หวังจะให้เพื่อไทยเป็นพรรคของจารีตอำนาจนิยม ดิฉันคิดว่าเขาก็ไม่ไว้ใจ ขณะนี้เป็นเวลาลำบากของฝั่งจารีตอำนาจนิยม เพื่อไทยจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นแต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไว้ใจได้

: อนาคตพรรคก้าวไกล?

ถ้าหากจะไม่เลือกยุบ ก็จะเลือกจัดการอย่างอื่น เช่น การประหารชีวิตทางการเมือง เรื่องการละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรืออาจโดนทั้งสองอย่างทั้งยุบพรรคแล้วก็การประหารชีวิตทางการเมือง หรืออาจจะไม่ยุบพรรคก็ได้ เพราะมีคนบอกว่ายิ่งยุบมันยิ่งโต

ส่วนตัวมองว่าที่เราต้องทวงความยุติธรรมให้คนตาย นิรโทษกับคนเป็น ต้องเอาเรื่องการที่ล้างมลทิน สำหรับคดีความบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนี้ด้วย

ฝากเอาไว้ว่าถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยพอได้ระดับหนึ่ง และแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย ถ้ามีดวงตาเห็นธรรมและอยากได้รับความนิยมต้องมองเห็นว่าผู้ใดถูกกระทำโดยเครื่องมือของนิติสงคราม ผู้ที่ถูกคดีความทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม ระบอบประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกยุบพรรค แถมยังกล้าประหารชีวิตทางการเมือง

ถ้าการยุบพรรคก้าวไกลเกิดขึ้น ก็จะเป็นแบบที่หลายคนพูด ยิ่งยุบยิ่งโตแน่นอน เพราะประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ใช่ยุคไทยรักไทย เพราะฉะนั้น เพื่อไทยอย่าฝันหวาน ว่าถ้าทำเศรษฐกิจดี ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และในความเชื่อของดิฉัน เศรษฐกิจต้องขึ้นกับการเมืองและระบอบ

ในประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนได้สั่งสมทำให้คนได้รับบทเรียน ว่าจะอยู่แบบเดิมไม่ได้หรอก

ประชาชนเข้าใจมากกว่านั้นแล้วต้องการสร้างความหวังที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดี เพราะฉะนั้น การยุบพรรคยิ่งทำให้ประชาชนโกรธ เพียงแต่ดิฉันเสียดายบุคลากรอย่างคุณพิธา คุณธนาธร คุณพรรณิการ์ คุณปิยบุตร หรืออีกหลายคนที่อาจจะต้องโดนจัดการ

การที่ผู้ชุมนุมในปี 2563 ถ้าคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเรียกว่าม็อบ 3 นิ้ว ซึ่งไม่ได้บอกเขาจะล้มล้างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซะที่ไหน แต่เขาชูคำขวัญของระบอบประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ เข้าใจหรือเปล่า หรือรู้จักแต่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามแบบของตัวเอง

ไม่มีคำว่าประชาธิปไตยอยู่แล้ว แม้กระทั่งเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ เพราะว่าเพียงแค่เขาเสนอคำขวัญของระบอบประชาธิปไตย คุณก็รับไม่ได้ คุณไม่เอาเลย แสดงให้เห็นว่าคุณปฏิเสธประชาธิปไตย

กระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ถ้าอยู่ในระบอบประชาธิปไตยต้องเท่าเทียมกันแล้วต้องเป็นนิติรัฐ นิติธรรม เป็น Rule of Law ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ Rule of Law ในระบอบเผด็จการ ที่ขึ้นต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม อำนาจชอบธรรมต้องเป็นอำนาจประชาชน

ดังนั้น การยุบพรรคที่แล้วมาก็ถือว่าเสี่ยงมาก แต่ประชาชนก็อดทนรอ

: รัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดง

อาจารย์ธิดากล่าวว่า ต้องทำไม่ใช่แค่ว่าทำให้คนเสื้อแดง แต่เป็นการทำเพื่อตัวเองด้วย ถ้าเขาดำเนินการเช่นที่เราเคยเสนอ 3 ข้อ ขณะนี้ 62 ราย ยังไม่ได้ชันสูตรพลิกศพ ต้องทำภายใน 30 วัน ตอนนี้ 14 ปียังไม่ทำ คุณชอบธรรมที่ต้องตั้งคณะกรรมการมาเร่งรัดคดีตรวจสอบว่าทำไมถึงไม่มี และที่สำคัญก็คือการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและปฏิรูปกองทัพ คือคนทำความผิดทางอาญาต่อประชาชนไม่ว่าคุณจะใส่หัวโขนเป็นทหารหรือเป็นนักการเมือง คุณต้องมาขึ้นศาลแบบเดียวกับประชาชน

คือสิ่งที่คุณควรทำ แต่ข้อที่ 3 ที่บอกว่าให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจ ดิฉันว่าชาติหน้าตอนไหนก็ไม่รู้จะกล้าทำหรือเปล่า เมื่อตอนรอบที่แล้วใกล้รัฐประหารเราบอกให้ทำน้อยที่สุดคืออาจจะได้ยับยั้งการทำรัฐประหาร ได้เซ็นก็ไม่ยอมเซ็น คุณหมอเหวงก็พยายามตื๊อ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ตอนนี้แค่ 2 ข้อ ถ้าทำจะเป็นคุณ ไม่ใช่ว่าเป็นคุณกับคนเสื้อแดง หรือเพื่อสำนึกผิดว่าจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชนที่เสียไป คุณไม่ต้องสำนึกก็ได้ แต่คืออนาคตของพรรคคุณด้วย

ส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่ไปเลือกพรรคก้าวไกลเพราะเหตุนี้ด้วย เพราะว่าเขาเจ็บปวดต่อการตายของคนในครอบครัว บาดเจ็บ เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วเขาต้องการพรรคการเมืองที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงการเมืองเพื่อทำให้ดีขึ้น จึงไปเลือกพรรคอื่นเป็นทางเลือกที่ใกล้กับอุดมการณ์ของเขา

ชมคลิป