ดิ้นต่ออายุ ‘โจ๊ก 10 ชีวิต’ ลุย ‘ฟ้อง-ร้อง’ แหลก นายกฯ-ต่าย-ต่อ-บิ๊กนายพล ลุ้นคืนเก้าอี้รอง ผบ.ตร.

เป็นเพราะบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

“ปม” การดำเนินการเกี่ยวกับการให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน

กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นรต.รุ่น 47 ถูก “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. ขณะ รรท.ผบ.ตร. นรต.รุ่น 41 มีคำสั่งเมื่อ 18 เมษายน ให้ออกราชการไว้ก่อน อันเนื่องมาจากถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาพัวพันเว็บพนันออนไลน์ พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงทำผิดวินัยร้ายแรง มี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช นรต.รุ่น 40 รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน

เป็น 2 คำสั่ง เกิดขึ้นหลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงนามส่งตัว “บิ๊กโจ๊ก” กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในวันเดียวกันนั่นเอง

สรุปใจความบันทึก “ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล” ได้ว่า การจะให้ออกจากราชการหรือไม่นั้น ต้องรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัยมีมติ หากเป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้น ย่อมชอบด้วยกระบวนการตามกฎหมาย เป็นธรรมแก่ผู้ถูกสอบสวน รวมถึงการนำความกราบบังคมทูลให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งได้

เสมือนเป็น “ยาชูกำลัง” ให้ “บิ๊กโจ๊ก” ผู้มีฉายา แมว 9 ชีวิต มีพลังพลิกฟื้นคืนชีพ รอดูว่าจะมีชีวิตที่ 10 หรือไม่

 

พร้อมกับมีข่าวสะพัดว่ามี “บิ๊กดีล” ให้ 2 นายพลได้คืนสำนักงานปทุมวัน โดยคนหนึ่งเมื่อกลับแล้วโอนย้ายไปอีกสังกัดก่อนเกษียณอายุราชการ 30 กันยายนนี้ ส่วนอีกคนได้กลับมาเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.

ต่อมา นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาชุด 2 รับ “หน้าเสื่อ” นายกฯ เศรษฐา แถลงผลสอบคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จและข้อกฎหมายกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ เกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน

ผลสอบพบว่ามีความขัดแย้งและไม่มีความเรียบร้อยเกิดขึ้นจริง

แต่ประเด็นที่คนโฟกัสในการแถลงคือ ส่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับคืนตำแหน่ง เนื่องจากสอบเสร็จแล้ว ไม่มีข้อที่จะต้องตรวจสอบอีก

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นมีกระบวนการเมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่สั่งให้ออกจากราชการไม่ถูกต้อง

เนื่องจากมีคำสั่งในวันเดียวกัน 3 คำสั่ง คือให้กลับ ตร., ตั้งคณะกรรมการสอบแล้วสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยที่ยังไม่ทราบผลสอบ จึงไม่เป็นไปตามมาตรา 120 วรรค 4 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565

หลังฟังแถลงข่าววันนั้น กองเชียร์ “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” ยิ้มออกไปตามๆ กัน “รอง ผบ.ตร.หนุ่ม” เปิดใจว่า ถ้าได้กลับ ตร. พร้อมอโหสิและถอนฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

 

แต่ปรากฏว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่ออนุกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เกี่ยวกับดำเนินการทางวินัยที่มี พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.เป็นประธาน ได้มีมติตามที่ ก.ตร.ได้มอบหมายให้วินิจฉัยบันทึกคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ปรากฏมติเสียงข้างมากว่าคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการนั้นชอบแล้ว โดยไม่ได้รับฟังข้อสังเกตบันทึกคณะกรรมการกฤษฎีกา

อีกทั้งเคยมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดว่าข้อสังเกตคณะกรรมการกฤษฎีกามิได้มีผลให้หน่วยงานต้องปฏิบัติ การดำเนินการตามข้อสังเกตคณะกรรมการกฤษฎีกาย่อมเป็นไปตามดุลพินิจและนโยบายของแต่ละหน่วยงาน

เพราะฉะนั้น ก.ตร.หลายคน ต่างมีความเห็นว่า ถ้ามีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กลับเข้ารับราชการจะมีความเสี่ยงหากมีใครร้องทุกข์กล่าวโทษ

จึงควรรอการพิจารณาคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) จะมีความปลอดภัยกับทุกฝ่าย

 

ปรากฏว่าอุณหภูมิความขัดแย้งอาณาจักรสีกากีกลับมาเดือดอีกรอบ

นอกจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฟ้อง “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. หมิ่นประมาทฯ กรณีให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเนื้อหาในสำนวนกำนันนกพาดพิงให้เสียหาย ทำให้คนฟังข่าวเข้าใจผิดว่าบิ๊กโจ๊กเป็นคนไม่ดี ถูกดูหมิ่นเกลียดชังทั้งที่เป็นความเท็จแล้ว

ต่อมาได้ยื่นคำร้อง ป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ, พล.ต.ต.อภิสัณห์ หว้าจีน ผู้บังคับการกองวินัย และ พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผบช.กมค.) ในความผิดมาตรา 157

ตามด้วยฟ้อง พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรอง ผบ.ตร. ในข้อหาหมิ่นประมาทฯ และเตรียมดำเนินคดี “กูรูนายพล” อีกคนด้วย

พร้อมระบุว่า ถ้า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ประวิงเวลาไม่เซ็นให้กลับรับราชการ จะยื่นฟ้องสัปดาห์หน้า

และในที่สุดถ้าไม่มีการเปลี่ยนคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน จะฟ้องนายกฯ เศรษฐา มาตรา 157 ด้วย

จนที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาปรามว่าไม่ควรฟ้องนายเศรษฐา เพราะยังมีช่องทางได้รับการเยียวยาอีกหลายช่องทาง ขณะนี้ ก.พ.ค.ตร.ได้รับเรื่องไว้แล้ว น่าจะใช้เวลาอีก 1 เดือนถึงจะวินิจฉัยได้

พร้อมขมวดปมตอนท้ายว่า ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร. และรัฐบาลเองก็ฟัง ก.พ.ค.ตร. เอาอย่างไรก็เอาตามนั้น

 

ในที่สุดปรากฏว่าการประชุม ก.ตร. ที่นายเศรษฐาเป็นประธานเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน มีมติ 12 ต่อ 0 เห็นชอบตามคณะอนุ ก.ตร.วินัย เห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย ทำให้คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับตามกฎหมาย

แต่ถึงอย่างไรเชื่อว่า นายกฯ ยังไม่มั่นใจที่จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ อยู่ดี ต้องรอฟังคำวินิจฉัย ก.พ.ค.ตร.ก่อน

ดังนั้น “ศึกสีกากี” ยังยืดเยื้อต่อไป