ผ่าเบื้องหลังจับ ‘ชนินทร์’ ตัวการฉ้อโกง STARK ทำเสียหาย 15,000 ล้าน ตามล่า 8 เดือน-จนมุม ‘ดูไบ’

คดีประวัติศาสตร์ที่เขย่าวงการตลาดทุนไทย สร้างความเสียหายไปทั้งตลาดทุน ส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย เจ้าหนี้ธนาคาร และผู้ลงทุนหุ้นกู้ หนีไม่พ้นการทำธุรกรรมอำพรางหรือการตกแต่งบัญชีของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK

‘ดีเอสไอ’ พบว่าคดีอภิมหาโกงครั้งนี้ มีผู้เสียหายมากกว่า 4 พันคน มูลค่าความเสียหายกว่า 15,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาได้ดำเนินคดีกับ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ทายาทสี TOA กรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) กับพวกรวม 10 คน แต่ผู้ต้องหาที่เป็นตัวการใหญ่อย่าง นายชนินทร์ เย็นสุดใจ สามารถหลบหนีออกนอกประเทศไปได้อย่างไร้ร่องรอย

ผ่านมา 1 ปี คดีฉ้อโกง ‘สตาร์ค’ กลับมาเป็นที่สนใจในสังคมอีกครั้ง เมื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการอธิบดีดีเอสไอ แจ้งว่าสามารถตามจับกุมนายชนินทร์ได้แล้ว

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวการจับกุม

จับ ‘ชนินทร์’-จนมุมดูไบ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตผู้บริหารบริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ หลังทางการสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามารถจับกุมตัวได้ที่เมืองดูไบ

นายจักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาร่วมรับตัวผู้ต้องหาคนสำคัญถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผอ.กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนแถลงว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีผลกระทบกับนักลงทุนทั้งรายเล็ก กลาง ใหญ่ เป็นภาพที่ไม่ดีต่อตลาดทุน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้เร่งดำเนินการตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2566 ใช้เวลา 8 เดือน ในการดำเนินการนำตัวนายชนิทร์กลับมา เป็นความร่วมมือหลายหน่วยงานตั้งแต่ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

วันที่ 24 มิถุนายน ที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์เปิดเผยผลการสอบปากคำนายชนินทร์ว่า ประเด็นที่ใช้ในการสอบปากคำส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ ก.ล.ต.เคยกล่าวโทษบุคคลทั้ง 10 ราย ซึ่งมีทั้งบุคคลและนิติบุคคล โดยรวมแล้วจะอยู่ในมูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯ ข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งนายชนินทร์แก้ข้อกล่าวหาด้วยวาจาและนำเอกสารประกอบแสดงชี้แจงในบางประเด็น

ทั้งนี้ ในส่วนประเด็นใดที่นายชนินทร์ไม่ประสงค์แก้ข้อกล่าวหา ก็ได้แจ้งว่าจะขอไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น อาทิ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหารายอื่นๆ

นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ อดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่STARKทายาทตระกูลธุรกิจสีชื่อดัง

เมื่อถามว่า นายชนินทร์ได้มีการให้ปากคำเกี่ยวกับบุคลากรรายอื่นๆ ภายในโครงสร้างกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท สตาร์ค หรือบรรดาลูกน้องบ้างหรือไม่ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์กล่าวว่า ผู้ต้องหายังไม่ได้มีการกล่าวถึงกรรมการบริษัทมากนัก แต่ให้การเพียงแค่ว่าตนเองเป็นผู้บริหารจริง แต่ไม่ใช่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร เพราะตนเองและนายวนรัชต์ก็มีสถานะเป็นกรรมการบริษัท ถือว่ามีอำนาจเท่ากัน

ส่วนกรณีที่ทนายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความของนายชนินทร์ระบุว่าการสั่งฟ้องที่เกิดขึ้นกับลูกความตนยังไม่เป็นธรรม เพราะยังมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องเส้นทางการเงิน และการบริหารจัดการในบริษัท สตาร์ค แต่ไม่ถูกสั่งฟ้อง (กรณีของนายชินวัฒน์ อัศวโภคี ผู้ต้องหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไปไม่ถึง) พ.ต.ท.จักรกฤษณ์กล่าวว่า ถือเป็นดุลพินิจของอัยการ

จากนั้นพนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ควบคุมตัวนายชนินทร์มาส่งตัวยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลอาญา โดยพบว่ามีผู้เสียหายประมาณ 40-50 คน มาดักรอชูป้ายพร้อมตะโกน “เอาเงินเราคืนมา” โดยทั้งผู้สื่อข่าวเเละผู้เสียหายวิ่งตามรถเพื่อดูหน้าผู้ต้องหา ทำให้รถไม่สามารถจอดนำตัวนายชนินทร์ลงได้ เนื่องจากเกรงเรื่องการรักษาความปลอดภัย จึงวนรถออกจากสำนักงานอัยการสูงสุด คาดว่าจะให้นัดพนักงานอัยการพาตัวไปยื่นฟ้องที่ศาลอาญาเลย

นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เปิดเผยว่า วันนี้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาในความผิดเกี่ยวกับการเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารร่วมกันทำงบดุล หรือบัญชีอันเป็นเท็จในเรื่องผลกำไร ฉ้อโกงประชาชน ชี้ชวนหลอกลวงด้วยการแสดงความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับผลกำไรต่อประชาชนและสถาบันการเงิน ทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ยักยอกในฐานะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นลักษณะความผิดเดียวกับผู้ต้องหาที่ยื่นฟ้องไปก่อนหน้านี้

นายชนินทร์ เย็นสุขใจ ถูกคุมตัวถึงเมืองไทย

ท้ายคำร้อง ได้ขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกมีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยดำเนินการเป็นกระบวนการและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมซึ่งเป็นความผิดจำนวนมาก โดยจำเลยเคยหลบหนีระหว่างสอบสวนมาแล้ว และคดีมีอัตราโทษสูงเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายแล้ว หากจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ประสงค์จะสืบพยานประกอบคำรับสารภาพด้วย

โดยศาลอาญาประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา เป็นคดีหมายเลขดำ อ.1931/2567 และสอบคำให้การนายชนินทร์ จำเลยแล้วแถลงให้การปฏิเสธ สู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานคู่ความวันที่ 26 สิงหาคม เวลา 09.00 น.

ปรากฏว่าไม่มีญาติหรือทนายความของนายธนินทร์มายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ภายหลังหมดเวลาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวนายชนินทร์ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

นายชนินทร์ เย็นสุขใจ

ดีเอสไอลุยสาวต่อเส้นทางเงิน

การจับกุมนายชนินทร์ครั้งนี้จุดประกายความหวังให้บรรดาผู้เสียหายที่สูญเสียเงินทองไป ว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถติดตามอายัดเงินที่เสียไปกลับคืนมาได้ เพราะที่ผ่านมามีข่าวลือสะพัดว่านายชนินทร์ได้โยกเงินกว่า 8,000 ล้านบาทไปซุกซ่อนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

เรื่องนี้ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์กล่าวว่า เรื่องการติดตามเส้นทางเงินพนักงานสอบสวนได้รับเป็นอีกหนึ่งคดีพิเศษ โดยเป็นการสืบสวนสอบสวนเรื่องฟอกเงินทางคดีอาญา จะเป็นการขยายผลไปในเรื่องความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน ว่าบุคคลใดบ้างที่รับโอนเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาคดีสตาร์ค

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในคดีนี้ได้มีการโอนเงินหรือผ่องถ่ายไปที่ใคร โดยที่บุคคลนั้นยังไม่ถูกดีเอสไอดำเนินคดีหรือไม่ หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และเมื่อเสร็จสิ้นก็จะดำเนินการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษ

พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ระบุด้วยว่า กลุ่มเป้าหมายแรกที่ดีเอสไอเล็งว่าอาจมีการข้องเกี่ยวในเรื่องเงินที่มาจากการกระทำความผิดในคดีหุ้นสตาร์ค เป็นบุคคลใกล้ชิดมีความสนิทสนมกับบรรดาผู้ต้องหาทั้ง 11 ราย เพื่อดูว่าแต่ละรายได้มีการจำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สิน หรือผ่องถ่ายเงินไปยังทางใดหรือไม่ สำนวนการฟอกเงินคดีใหม่นี้จะไม่ถูกส่งไปยัง ปปง. เนื่องจากคดีการฟอกเงินจะมีอยู่ด้วยกันสองส่วน คือ

เหยื่อสตาร์ครวมตัวเรียกร้องเงินคืน

1. ส่วนแรก ปปง.จะดำเนินการในเรื่องของการยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในคดี โดยการยึดทรัพย์ของ ปปง. เพื่อสำหรับศาลแพ่งมีคำสั่งเฉลี่ยคืนผู้เสียหายในคดี

2. ส่วนของดีเอสไอ จะดำเนินการเฉพาะในส่วนของบุคคลที่รับเงินโอนเงินกับกลุ่มผู้ต้องหา ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรืออ้อมกี่ทอดก็ตาม เนื่องจากไม่ได้มีหนี้สินเกี่ยวพันกันจริง แต่มีเจตนาการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิด ซึ่งจะเป็นโทษคดีอาญา มีอัตราโทษจำคุก จะไม่เกี่ยวกับทาง ปปง. ที่ทำในเรื่องคดีแพ่ง

ส่วนกรณีที่มีรายงานว่านายชนินทร์โยกเงินกว่า 8,000 ล้านบาทไปซุกซ่อนอยู่ที่อังกฤษ เรื่องดังกล่าวดีเอสไออยู่ระหว่างการตรวจสอบและประสานข้อมูลกับสำนักงาน ปปง. พร้อมย้ำชัดว่า ปปง. ทำคดีทางแพ่ง ส่วนดีเอสไอทำคดีทางอาญา

ขณะที่เบื้องหลังการติดตามคีย์แมนคนสำคัญของขบวนการโกง จนสามารถนำตัวกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ครั้งนี้ เป็นผลจากความเอาจริงเอาจังของทั้ง 2 รัฐมนตรี ทั้ง พ.ต.อ.ทวีและนายจักรพงษ์ ผสานกับเครือข่ายความสัมพันธ์กับต่างประเทศอันกว้างขวางของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา รวมทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จลงได้

อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการติดตามทรัพย์สินเงินทองกลับมาคืนให้กับเหล่าผู้เสียหาย ที่ตั้งตารอกันมากว่า 1 ปีแล้ว