คอปกขาว-คอปกสีน้ำเงิน | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | พงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

คอปกขาว-คอปกสีน้ำเงิน

 

ไม่รู้ว่า ส.ว. White Collar Crime

“มากันสักกี่คน”

แต่ก็ควรทำใจเผื่อไว้เยอะๆเลยว่า คำตอบนั้นอาจอยู่ใน”สายลม”

เพราะเลขาฯ กกต.ได้ออกตัวไว้แต่เนิ่นๆแล้วว่า กระบวนการกระทำผิดในการเลือก ส.ว.ชุดใหม่ที่ถือว่าเป็น White collar crime หรืออาชญากรรมคอปกขาวนี้

“(เป็น)คนมีความรู้ทำความผิด เขามีทั้งอำนาจ ทุน ทักษะ และความรู้ ยิ่งเรื่องการเมืองก็มีทั้งเครือข่าย และผู้สนับสนุน”

ความหมาย ตามคำพูดนี้ คือไม่สามารถเอาผิดอาชญากรรมคอปกขาวได้ง่ายๆ

ประกอบกันตอนนี้ คนกำลังตะลึงพึงเพริด กับปรากฏการณ์ “คนคอปกสีน้ำเงิน” ที่ต้องเน้น และย้ำ เพื่อเป็นธรรม ก่อนว่า ไม่มีคำว่า crime หรืออาชญากรรม ต่อท้าย

แต่เป็นกลุ่มคนสีน้ำเงิน ที่ว่ากันว่า ตบเท้าเข้ามาเป็น (ว่าที่)ส.ว.มากกว่าครึ่งจากจำนวน 200 คน

ถือเป็นความพลิกผันทางการเมือง ที่น่าจับตายิ่ง

“ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ให้สัมภาษณ์ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับล่าสุด ถึงสถานะ”พรรคเพื่อไทย”ในสายตา”ฝ่ายจารีต” ซึ่งสรุปได้อย่างสั้นๆแต่ได้ใจความว่า

เพื่อไทยยังเป็นสิ่งจำเป็น(ของฝ่ายจารีต) แต่ (ฝ่ายจารีต)ไม่ไว้วางใจเพื่อไทย

ดังนั้น การร่วมหัวจมท้ายทางการเมือง ของทั้งสองขั้ว จึงเป็นลักษณะคุมเชิง กันและกัน มากกว่า

พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษาอยู่ข้างนอก ก็คงมุ่งกลับไปสู่เป้าหมายการเป็นหมายเลขหนึ่งเช่นเดิม

ขณะที่ กลุ่มจารีต ก็คงเล็งหา”ไพ่”อีกหลายๆใบไว้เล่น ไม่อาจฝากผีฝากไข้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้

จากเดิมเราอาจเห็นความโน้มเอียงไปยัง “คนอยู่ป่า”

แต่ปัจจุบัน สถานะคนอยู่ป่า “ด้อยบารมี”ลงอย่างมาก

จึงเป็นไปได้ที่ฝ่ายจารีต จะมองหา”เป้าหมาย”อื่นๆเพิ่มเติม

และเป้าหมายที่ถูกจับตาอย่างมากในปัจจุบัน

นั่นก็คือ ปรากฏการณ์ “เหลืองทั้งพรรค”ระหว่างการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2568 ของพรรคภูมิใจไทย

เป็นการเหลืองทั้งพรรค ที่พรรคภูมิใจไทย ตั้งใจ”สื่อสาร”และนำเสนอ โดยหวังจะให้ประทับอยู่ในใจของคนทั้งในและนอกสภา

ซึ่งก็ประสบผลอยู่ไม่น้อย

และยิ่งกว่านั้น ยังตามมาด้วยปรากฏการณ์”คนละเรื่องเดียวกัน”อีก

นั่นคือ “สีน้ำเงินครึ่งสภาสูง”

ที่ว่ากันว่า น่าจะทำให้ “ดุลการเมือง”สะเทือนอย่างมาก

เพราะการที่ ฝ่ายสีน้ำเงินกุมเสียงข้างมากในสภาสูง ย่อมทำให้ปีกฝ่ายก้าวหน้า ที่วาดหวังจะพลิกโฉมวุฒิสภาไปสู่ความเป็นเสรีนิยม ยากอย่างยิ่ง

ด้วยอย่างที่ทราบ ฝ่ายสีน้ำเงิน มีความโน้มเอียงเดียว กับ ฝ่าย”เหลืองทั้งพรรค”ในสภาล่าง นั่นคือไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

ขณะเดียวกัน การเลือกสรรกรรมการในองค์กรอิสระก็คงไม่ได้มุ่งไปสู่ “ความเป็นอิสระ”อย่างเต็มที่ หากแต่ยึดโยงกับแนวคิดในเชิงอนุรักษ์มากกว่า

ทิศทางเช่นนี้ ย่อม ทำให้”ฝ่ายจารีต”พึงใจไม่น้อย

และมีความเป็นไปได้มาก ที่จะทำให้ปีกสีน้ำเงิน เป็นไพ่สำคัญอีกใบ ที่จะถูกนำเล่น

เพราะนอกเหนือจะต่อกรกับฝ่ายก้าวหน้าแล้ว ยังเป็นการถ่วงดุลกับพรรคเพื่อไทย ด้วย

ไพ่ในสำรับการเมือง ที่สามารถเล่นได้หลายใบนี้เอง ทำให้ การเมืองในอนาคตอันใกล้ ย่อมมากด้วยการ”ต่อรอง”และ”ถ่วงดุล”

การจะรุกทางการเมืองอย่างก้าวหน้าและเสรี ไม่อาจจะทำได้ง่ายๆ

ขณะเดียวกันหากมีความผลิกผันในรัฐบาล จนอาจต้องเปลี่ยนตัวเล่น

ฝ่ายจารีตและกลุ่มคอปกสีน้ำเงินก็อาจจับมือก้าวเข้ามาเป็น”ตัวแปร”คุมเกมอำนาจต่อไป

————–