ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
‘ยวนพ่ายโคลงดั้น’ (4)
: ‘พระญายุทธิษฐิระ’ เลือดขัตติยะผู้พลัดถิ่น
ชนวนแห่งสงครามล้านนา-อยุธยา?
แค้นฝังหุ่นของพระบรมไตรโลกนาถ
ที่มีต่อ “พระญายุทธิษเฐียร”
สงครามอันยืดเยื้อยาวนานถึง 18 ปี ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับล้านนา ไม่ได้เกิดขึ้นจาก “ความแค้น” ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถรู้สึกว่าอยู่ดีๆ ฝ่ายพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ก็ยกทัพจากเมืองเหนือมาลูบคม “เมืองกันชนแถบสุโขทัย-เชลียง” ถึงลุ่มน้ำยม แต่อย่างใดไม่
มูลเหตุที่แท้จริง อันเป็น “ตะกอนใจขุ่นข้น” นั้นเกิดจาก “ความแค้นฝังหุ่น” ที่พระองค์ทรงมีต่อ “พระยุทธิษเฐียร” (ล้านนานิยมเขียน “พระญายุ(ท)ธิษฐิระ”) ญาติผู้น้องที่มีเชื้อสายฝ่ายสุโขทัยเหมือนกันต่างหาก ที่บังอาจกระทำการแปรพักตร์ เอาใจออกห่าง (เอกสารโบราณมักใช้คำว่า “ออกหาก”)
โคลงดั้นหลายบทในวรรณคดียวนพ่าย ที่บันทึกถึง “ต้นเหตุของสงคราม” ประกาศชัดถึงความเจ็บช้ำน้ำใจอาฆาตแค้นที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีต่อ “ญาติผู้ทรยศ” คนนี้ อาทิ ในบทที่ 84
ใจร้ายไป่โอบอ้อม พลไพ ริศแฮ
มาอยู่ในเมืองอร อวจกล้า
ครั้นขุ่นข่าวขจรไตร ภพนารถ
เสด็จดำกลช้างม้า ทยบถรรรฯ
คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทยแห่งราชบัณฑิตยสถาน จัดทำคำอธิบายไว้อย่างละเอียดเมื่อปี 2544 ดังนี้
“ยุทธิษเฐียร ผู้มีใจชั่วร้ายไปเผื่อแผ่กับพวกศัตรูให้เข้ามาอยู่ในเมืองเชลียงได้ก่อนแล้ว บังอาจอวดกล้า ครั้นเมื่อฝ่ายลาว (ล้านนา) รู้ข่าวว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้โปรดแต่งกองทัพช้างม้ายกมาอย่างรวดเร็ว”
ตามด้วยบทที่ 90-91 ยิ่งสะท้อนถึง “ความแค้นแน่นอก” ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีต่อพระยุทธิษเฐียรอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
ทีนั้นธิเบศวรเรื้อง รณรงค์ เลิศแฮ
อยู่รังวัลพลแสน ส่ำแกล้ว
พระญาณสํเด็จทรง ทายาท
ใครซื่อคตเลงแล้ว ท่ววทวยรฯ
จึ่งตั้งข้าเรื้องราช วังเมือง แลนา
แทนยุทธิษฐิรคืน ครอบหล้า
ครั้นเสด็จจึ่งจอมเลือง โลเกษ
กล่นเกลื่อนพลช้างม้า คล่าวไคลฯ
บทที่ 90 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผู้รุ่งเรืองเป็นเลิศในการรณรงค์สงคราม ได้พระราชทานรางวัลแก่บรรดาทแกล้วทหารทั้งปวง พระองค์ทรงหยั่งรู้อย่างถ่องแท้ว่าใครซื่อ และใครคด ทั่วทุกประการ
บทที่ 91 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแต่งตั้งให้ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ “ราชวังเมือง” เป็นเจ้าเมืองแทนยุทธิษเฐียรคนคด ครั้นเสร็จแล้วพระองค์ผู้รุ่งเรืองและเป็นใหญ่ในโลก ทรงเคลื่อนกองทัพช้างม้าหลั่งไหลกลับไป
เห็นได้ว่า การบันทึกสงครามประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญระหว่างอยุธยากับล้านนาในโคลงยวนพ่ายนี้ ผู้ประพันธ์มุ่งเน้นที่จะตอกย้ำถึง “ความคิดคดทรยศ” หรือการเป็นผู้ “ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน” ของ “ยุทธิษเฐียร” เป็นประการสำคัญ
ทำให้ต้องย้อนมาตั้งคำถามว่า “ยุทธิษเฐียร” คือใครกัน?
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2021/08/ปริศนาโบราณ1-300x200.jpg)
หากพี่รักษาสัญญาลูกผู้ชาย
มีหรือที่น้องจักแปรพักตร์หนี
ยุทธิษเฐียร หรือยุธิษฐิระ ไฉนนามนี้จึงชวนให้ประหวัดถึงตัวละครเอก ผู้เป็นพี่ชายคนโตในตระกูลปาณฑพอยู่ตลอดเวลา ฤๅสะท้อนว่าคนสุโขทัยเมื่อราว 600 ปีก่อนนั้น สนใจในวรรณคดีเรื่องมหาภารตยุทธอย่างยิ่งยวด
ผู้ที่ศึกษาเรื่องราวของ “พระญายุทธิษเฐียร” มีอยู่หลายท่าน หลักๆ คือ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีของกรมศิลปากร, สุจิตต์ วงษ์เทศ นักประวัติศาสตร์โบราณคดีชื่อดัง และเฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี นักวิชาการรุ่นใหม่ ด้านล้านนาศึกษา
หนังสือ “ศาสนาและการเมืองในประวัติศาสตร์สุโขทัย-อยุธยา” อาจารย์พิเศษกล่าวว่า
“พระยุธิษฐิระนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายมารดาของพระบรมไตรโลกนาถ กล่าวคือ บิดาของพระยุธิษฐิระกับมารดาของพระบรมไตรโลกนาถเป็นพี่น้องกัน และทั้งสองเป็นเชื้อสายเจ้าปกครองแคว้นสุโขทัย
เมื่อพระบรมไตรโลกนาถได้ครองกรุงศรีอยุธยานั้น พระยุธิษฐิระได้ครองเมืองพิษณุโลก
ต่อมาทั้งคู่ผิดใจกัน พระยุธิษฐิระจึงอพยพพาครอบครัวไปเข้ากับเจ้าเมืองเชียงใหม่ และชวนมาทำศึกกับพระบรมไตรโลกนาถ ในการทำสงครามครั้งนั้น ได้ทำความดีความชอบอันมาก พระเจ้าเชียงใหม่ได้ตั้งพระยุธิษฐิระเป็นเจ้าเมืองพะเยา”
ประเด็นสาแหรกวงศาคณาญาติระหว่างพระญายุธิษฐิระกับพระบรมไตรโลกนาถนั้น เฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี อธิบายไว้ในหนังสือ “ข้อคิดใหม่และข้อสังเกตบางประการ : ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองของล้านนาและสุโขทัย” สรุปไว้ว่า
พระญายุธิษฐิระมีนามเดิมว่า “ราม” ต่อท้ายด้วย สะท้อนถึงมีสายสัมพันธ์ชั้นเหลนของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระราชบิดาของพระญายุธิษฐิระคือ “สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 4 บรมปาล” (ออกญาธรรมราชา) กษัตริย์สุโขทัยองค์สุดท้าย ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาแท้ๆ ของพระราชมารดาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
หมายความว่าพระญายุธิษฐิระเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระบรมไตรโลกนาถ โดยพระญายุธิษฐิระมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ ทว่าในด้านอายุแล้ว ประสูติหลังพระบรมไตรโลกนาถ จึงยกให้พระบรมไตรโลกนาถเป็นเสมือนพระเชษฐา
สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการหนังสือ “ประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมเมืองพะเยา” ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
ก่อนที่พระบรมไตรโลกนาถจะเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก และเคยทรงสัญญาว่าถ้าได้เป็นกษัตริย์จะตั้งให้พระญายุทธิษฐิระเป็นอุปราช แต่เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดให้ตั้งเป็น ‘พระญาสองแคว’ ครองอยู่เมืองพิษณุโลกเท่านั้น
ทั้งนี้ อาจจะทรงเห็นว่ากษัตริย์เมืองสุโขทัยสมัยหลังๆ ก็ประทับอยู่ที่เมืองนี้ และพระองค์เองเมื่อทรงเป็นอุปราชก็เคยประทับอยู่ที่เมืองนี้ด้วย แต่พระญายุทธิษฐิระไม่พอใจ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับพระบรมไตรโลกนาถอย่างรุนแรง
ราว พ.ศ.1994 พระญายุทธิษฐิระลอบส่งสาส์นไปทูลพระเจ้าติโลกราชขอขึ้นกับเชียงใหม่ ทั้งยังนัดหมายให้พระเจ้าติโลกราชยกทัพมาตีเมืองปากยม สุโขทัย และชากังราวได้สำเร็จ เมื่อยกทัพกลับ พระญายุทธิษฐิระจึงอพยพครอบครัวเมืองพิษณุโลกไปเข้าด้วยพระเจ้าติโลกราช และช่วยราชการสงครามทำประโยชน์ให้ฝ่ายล้านนา
พระเจ้าติโลกราชจึงให้พระญายุทธิษฐิระไปครองเมืองภูคา (แถวสันกำแพง) ต่อมาได้ครองเมืองพะเยาเพื่อควบคุมเมืองแพร่กับเมืองน่านด้วย อันเป็นเขตแดนประชิดแคว้นสุโขทัยทางแม่น้ำยมและน่าน
เฉลิมวุฒิมองว่า การเอาใจออกห่างของพระญายุทธิษฐิระนั้นเกิดจาก “ความน้อยเนื้อต่ำใจ” ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ครองราชย์ในสถานะ สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 5 แห่งกรุงสุโขทัย สืบต่อจากพระราชบิดา อีกโสดหนึ่งด้วย ทั้งๆ ที่ทรงเป็นถึงพระราชโอรสของกษัตริย์สุโขทัย โดยศักดิ์และโดยสิทธิ์ทรงมีสถานะไม่ได้แตกต่างไปจากพระบรมไตรโลกนาถแต่อย่างใดเลย
ทว่า พระบรมไตรโลกนาถกลับรวบหัวรวบหาง รวมสุโขทัยเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาอย่างไม่ไยดี
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2021/08/ปริศนาโบราณ3-300x200.jpg)
แค่น้อยใจหรือนัยยะทางการเมือง?
ในรอบทศวรรษที่ผ่านมานี้ นักวิชาการด้านล้านนาหลายท่านเริ่มตั้งข้อสงสัยถึง “มูลเหตุที่แท้จริง” ของการที่พระญายุทธิษฐิระยกไพร่พลไปอยู่ในแว่นแคว้นล้านนานั้น ว่าควรอธิบายด้วยนัยยะใดกันแน่ ระหว่าง
นัยยะแรก พระญายุทธิษฐิระน้อยใจพระบรมไตรโลกนาถจริง แต่ครั้นมาอยู่ฝ่ายพระเจ้าติโลกราชแล้ว ก็ยังไม่พอใจในสถานะที่เป็นแค่ “เจ้าเมืองพะเยา” มีบรรดาศักดิ์ชั้น “เจ้าสี่หมื่น” เท่านั้นเอง
และแม้พระเจ้าติโลกราชจะสถาปนาพระญายุทธิษฐิระให้เป็นถึง “พระเจ้าลูก” หรือ “ลูกพระเป็นเจ้า” มีตำแหน่งดุจพระโอรสบุญธรรมแล้วก็ตาม แต่พระญายุทธิษฐิระก็ยังเห็นว่าสถานะเช่นนี้ต่ำต้อยเกินไป เมื่อเทียบกับการเป็นถึงพระราชโอรสกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยมาก่อน ภายหลังจึงมีเรื่องผิดใจกับพระเจ้าติโลกราชนานัปการ
นัยยะที่สอง บางท่านมองไปถึงว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระญายุทธิษเฐียร วางแผนซ้อนแผนถึงสองชั้นไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว คือแสร้งแตกคอกับพระบรมไตรโลกนาถ สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่พระเจ้าติโลกราช แท้จริงแล้วกระทำตนประหนึ่ง “วัสสการพราหมณ์” คือตั้งใจเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงราชบัลลังก์ของพระเจ้าติโลกราชให้สั่นคลอน เท่ากับเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กรุงศรีอยุธยา?
เนื่องจากพระญายุทธิษเฐียรไม่ได้มาคนเดียว หากยังได้มีการถวาย “แม่ท้าวหอมุก” สตรีรูปงามจากสุโขทัยให้เป็นพระสนมเอกของพระเจ้าติโลกราชอีกด้วย และนางผู้นี้เองที่คอยใส่ไคล้ “ท้าวบุญเรือง” พระราชโอรสองค์เดียวของพระเจ้าติโลกราชอยู่เนืองนิตย์ จนพระเจ้าติโลกราชหวาดระแวงว่าพระราชโอรสจะแย่งชิงราชบัลลังก์ จนถึงกับสั่งประหารราชบุตร
ไม่ว่าจะมองในนัยยะไหนก็ตาม พบว่าในท้ายที่สุดแล้ว พระญายุทธิษเฐียรก็ต้องพบกับความผิดหวังทั้งขึ้นทั้งล่อง
ทางแรกแม้ท้าวบุญเรืองจะถูกฆ่าไปแล้ว แต่พระเจ้าติโลกราชกลับมิได้มอบราชบัลลังก์ให้แก่พระองค์ (ผู้ซึ่งอุตส่าห์ทรยศฝ่ายอยุธยา) ในฐานะพระราชบุตรบุญธรรม แต่โดยดีเลย
และอีกทางหนึ่ง ข้างฝ่ายอยุธยาเองก็ยัง “ตราหน้า” เสียบประจานว่าพระญายุทธิษเฐียร คือคนใจคด ชั่วช้าสามานย์คบไม่ได้ ถึงกับบันทึกไว้ตราบฟ้าดินด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหลายบทใน “ยวนพ่ายโคลงดั้น” นั่นเทียว
สมควรเชื่อได้ล่ะหรือ หากจะมองว่า พระญายุทธิษเฐียรแสร้งสร้างสถานการณ์อย่างสมจริง เพื่อจะได้ไปอยู่กับฝ่ายล้านนาแบบเนียนๆ ด้วยมุ่งหมายจะ “ล้วงคองูเห่า” เอาความลับของฝ่ายล้านนาส่งให้ฝ่ายอยุธยา
การเอาตัวเข้าแลกของพระญายุทธิษเฐียรคุ้มค่าหรือไม่? สุ่มเสี่ยงมากเกินไปไหม เพราะต่อให้ฝ่ายล้านนาเกิดเพลี่ยงพล้ำ สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังพระองค์ด้วยความระแวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จักยิ่งปักใจเชื่อว่าพระญายุทธิษเฐียรเข้ามาสู่ล้านนาในฐานะ “จารบุรุษ” หรือ “ไส้ศึก”
มีหรือที่พระองค์จะอยู่รอดปลอดภัยหากล้านนาแพ้อยุธยา?
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2021/08/ปริศนาโบราณ2-300x200.jpg)
ข้าคือเชื้อสายของ “พระญาร่วง”
“พระญายุทธิษเฐียร” ตกอยู่ในที่นั่งลำบากบนทางสามแพร่งที่ปราศจากความสุข แน่นอนว่าทางแรกนั้น ไม่สามารถหวนกลับไปคืนดีกับฝ่ายอยุธยาได้อีกเลย เพราะรู้ดีว่าไม่มีวันได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์สุโขทัย ด้วยตำแหน่งนั้นถูกยุบ
ทางที่สอง ก็ไม่สามารถนั่งบัลลังก์ครองอาณาจักรล้านนานได้อีก เหตุที่มิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขชาวยวน
ทางแพร่งสุดท้าย พระญายุทธิษเฐียรจำต้องยืนหยัดอย่างทระนงในความเป็นราชาพลัดถิ่น ทำได้แค่เพียงประกาศก้องถึงความเป็น “พระญาร่วง” หมายถึงผู้สืบเชื้อสายจากกษัตริย์สุโขทัยราชวงศ์พระร่วง ในศิลาจารึกหลักต่างๆ อาทิ “จารึกวัดพระญาร่วง” พบที่วัดป่าแดงหลวงดอนไชยบุนนาค จังหวัดพะเยา
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2021/08/มีจารึกยุทธิษเฐียร-พช-พระนคร-225x300.jpg)
นอกจากนี้ ยังมีจารึกที่ฐานพระพุทธรูป ซึ่งมาเรียกกันภายหลังว่า “หลวงพ่อนาก” รัชกาลที่ 7 ได้รับถวายจากชาวเมืองพะเยา นำมาประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ วังหน้า จารึกนี้เขียนด้วยอักษรธัมม์ล้านนา เป็นภาษาบาลี-สันสกฤต อาจารย์เทิม มีเต็ม ถอดคำอ่านได้ดังนี้
“มหาศักราช 1398 (พุทธศักราช 2019) พระราชาผู้เป็นใหญ่ ทรงพระนามว่า ‘พระเจ้ายุธิษฐิรราม’ เป็นพระราชาผู้ครองเมือง ‘อภินว’ ทรงประสูติในวงศ์ของนักรบผู้กล้าหาญเป็นเยี่ยม ทรงประกอบด้วยทศพิธราชธรรม แตกฉานพระไตรปิฎก ได้ทรงสร้างพระพุทธรูปทององค์นี้ มีน้ำหนักประมาณสิบสี่พัน (14,000) เพื่อดำรงพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้”
ข้อความในจารึกที่ฐานหลวงพ่อนากนี้สื่อถึง “เลือดขัตติยะ” ของพระญายุทธิษเฐียรอย่างชัดเจน นับแต่การประกาศว่าพระองค์เป็น “พระราชา” หรือการมีสร้อยคำว่า “ราม” ต่อท้ายชื่อยุธิษฐิระ
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2021/08/พระพุทธรูปวังหน้า1-259x300.jpg)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมือง “อภินว” ที่พระองค์ทรงครองนั้น คือเมืองอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน ในเมื่อเมืองพะเยามีอีกชื่อว่า “ภูกามยาว” คำว่า “อภินว” ย่อมต้องการสื่อถึงนครพิงค์เชียงใหม่ ราชธานีของล้านนา ใช่หรือไม่
อยากทราบเหลือเกินว่า พระพุทธรูปองค์นี้ พระเจ้าติโลกราชกับพระบรมไตรโลกราถจะมีโอกาสได้ทอดพระเนตรเห็นคำจารึกที่ฐานบ้างไหม?